กลุ่มโคมัตสุ ในประเทศไทย บริษัทร่วมทุนกลุ่มสยามกลการ ร่วมยินดีแบรนด์โคมัตสุ เจ้าแห่งเครื่องจักรกลหนักระดับโลก ดำเนินธุรกิจครบรอบ 100 ปี ภูมิใจเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาเครื่องจักรกลหนักในประเทศไทย มากว่า 65 ปี ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด พร้อมตอบโจทย์แต่ละประเภทการใช้งานมากขึ้นและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องต่อไป ชี้อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยภาพรวมจากปัญหาโควิด-19 แต่โครงการเมกะโปรเจกต์ที่สำคัญตามแผนงาน และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับช่องทางการขายสู่ออนไลน์มากขึ้นตามกระแส มั่นใจยอดขายเป็นไป ตามเป้า 3,600 ล้านบาท
นายประณิธาน พรประภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางกอกโคมัตสุเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า “ในปีนี้ทางบริษัทฯขอร่วมแสดงความยินดีกับทาง โคมัตสุ ประเทศญี่ปุ่น ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์โคมัตสุครบ 100 ปี นับเป็นหนึ่งในธุรกิจเครื่องจักรกลหนักระดับโลกที่ทั่วโลกให้การยอมรับถึงคุณภาพ และเทคโนโลยีของสินค้า สำหรับในประเทศไทยเอง ปีนี้เรากับทางโคมัตสุ ได้ร่วมกันพัฒนาธุรกิจร่วมกันมาเป็นปีที่ 65 แล้ว และยังคงยึดมั่นที่จะร่วมมือกันเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักของไทยอย่างยั่งยืนสืบต่อไป และด้วยสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป ในปีนี้บริษัทฯ ให้ความสนใจในการพัฒนาเรื่อง Digital Transformation เพื่อให้ ทันกับกระแสโลก โดยทางบริษัทฯ มีการลงทุนเพิ่มในเรื่องการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี เช่น พัฒนา Application, ระบบ CRM เพื่อการตอบสนองลูกค้าที่ดีมากยิ่งขึ้น
สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักของไทย เติบโตขึ้นจากปี 2563 ถึง 41% โดยเป็นผลมาจากการลงทุนในโครงการก่อสร้างในส่วนของภาครัฐ ทั้งโครงการสาธารณูปโภค เมกะโปรเจกต์ รวมถึงโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ และพื้นที่เกษตรทั่วประเทศ (โครงการโคก-หนอง-นา) ทำให้มีการเติบโตในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเป็นจำนวนมาก และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากภาครัฐมีการลงทุนด้านการก่อสร้าง จากการก่อสร้างทั่วไปตามงบประมาณ และโครงการเมกะโปรเจกต์สำคัญ ซึ่งสัดส่วนการลงทุนในภาครัฐคาดการณ์เติบโตขึ้นประมาณ 12% ในปี 2564
การลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (Mega projects) ของภาครัฐจะเป็น แรงขับเคลื่อนสำคัญของภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรม โดยการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมระบบรางหลายโครงการมีกำหนดเริ่มก่อสร้างในช่วงปี 2564 ที่สำคัญ ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงของ และสายบ้านไผ่-นครพนม โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน รวมถึง รถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย จะเชื่อมต่อระบบขนส่งครอบคลุมพื้นที่สู่ภูมิภาคกว้างขวางขึ้น ขณะเดียวกันโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridors: EEC) ยังเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักที่การลงทุนขนาดใหญ่อีกหลายโครงการกำลังจะเริ่มก่อสร้าง ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา, โครงการพัฒนาท่าเรือ มาบตาพุด และแหลมฉบังระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา
นายประณิธาน กล่าวต่อไปว่า สำหรับสถานะการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันนั้นส่งผลกระทบอย่างไรกับธุรกิจหรือไม่ ต้องแจ้งว่า ในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 ที่ผ่านมาทาง โคมัตสุได้รับผลกระทบในส่วนที่เราต้องปรับตัวเพื่อมั่นใจว่าลูกค้า คู่ค้า และพนักงานของเราจะปลอดภัยจากโควิด-19 แต่ในส่วนของธุรกิจนั้นกลับกลายเป็น ตลาดเครื่องจักรกลหนักเติบโตขึ้น เนื่องมาจาก เงินสนับสนุนจากทางภาครัฐ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสถานการณ์ โควิด-19 มีเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง รวมถึงการพัฒนาพื้นที่การเกษตร แหล่งน้ำ ทำให้เครื่องจักรกลหนัก มีความต้องการในตลาดค่อนข้างมาก เพื่อรองรับกับการขยายงาน โปรเจกต์ต่างๆ
“สถานการณ์โควิด-19 ทุกธุรกิจล้วนได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปรับตัว ให้เข้ากับสถานการณ์
สิ่งที่โคมัตสุเน้นย้ำคือการดูแลพนักงานให้มีขวัญและกำลังใจในการบริการลูกค้า บวกกับตลาดเครื่องจักรกลหนักเติบโตขึ้น เนื่องมาจาก เงินสนับสนุนเพื่อฟื้นฟูสถานการณ์โควิด-19 จากทางภาครัฐ มีเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างด้วย รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ แหล่งน้ำ ทำให้เครื่องจักรกลหนัก มีความต้องการในตลาดค่อนข้างมาก เนื่องจากต้องใช้ในการก่อสร้าง และรองรับกับการขยายงาน โปรเจกต์ต่างๆ ทำให้โคมัตสุได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้น้อยมากก็ถือว่า ธุรกิจของเรายังมีความโชคดีตรงจุดนี้อยู่” นายประณิธาน กล่าว
นายประณิธาน ยังกล่าวต่ออีกว่า ทางบริษัทเองก็ต้องการปรับตัวการดำเนินธุรกิจให้เข้ากับยุคสมัย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด อย่างช่องทางการจัดจำหน่ายเองเราก็มีการปรับตัว พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนมาสนใจช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทางเรามีการขยายช่องทางการติดต่อผ่านทางออนไลน์สำหรับลูกค้าที่มีความสนใจในผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Line OA และ Call Center นอกจากนั้นในปีนี้ เรามีแผนที่จะมุ่งเน้นลูกค้าตามประเภทธุรกิจ เพื่อจะได้ตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งแต่เดิมเราไม่ได้มีตัวเลือกที่หลากหลายให้แก่ลูกค้า แต่ปัจจุบัน เราพัฒนา ทั้งเครื่องจักรและบริการให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น เช่น สำหรับลูกค้างานเหมือง เราต้องเสนอสินค้าและบริการที่มั่นใจว่าลูกค้าจะต้องทำงานได้ตามเป้าหมายในแต่ละวัน รวมถึง การพัฒนาเครื่องจักรรุ่นใหม่ๆ ออกมาเช่นเมื่อ
ช่วงต้นปี ทางเราได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ PC130-10M0 ซึ่งเครื่องจักรตัวนี้ได้มีการพัฒนา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยได้มีการปรับปรุงเครื่องจักรให้ทำงานได้ไวขึ้น และประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงมากขึ้น อีกทั้งยังคงมาตรฐานของโคมัตสุ คือเรื่องของความแข็งแรง ทนทาน ซึ่งได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เรายังมีการมุ่งเน้นในเรื่องประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ เมื่อเลือกโคมัตสุ โดยเรามี B-Connect Warranty การรับประกันเครื่องจักรตลอดอายุการใช้งาน ,โปรแกรม KOTS ซึ่งเป็นโปรแกรมฝึกคนขับ เพื่อให้คนขับใช้เครื่องจักรได้ถูกวิธี และมีประสิทธิภาพสูงสุด, ระบบ KOMTRAX ที่เป็นระบบที่ช่วยในการบริหารเครื่องจักร อีกทั้งเรายังมีการพัฒนา application เพื่อให้ลูกค้าสะดวกในการดูแลเครื่องจักรด้วยตัวเอง
สำหรับ ศูนย์บริการหลังการขายของโคมัตสุในประเทศไทยนั้น ปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 23 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ คือ ภาคกลาง ได้แก่ กรุงเทพฯ สำนักงานใหญ่, นวนคร, สระบุรี, ราชบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ระยอง, สระแก้ว และชลบุรี ภาคเหนือ ได้แก่ ลำปาง, พิษณุโลก, นครสวรรค์, เชียงใหม่ และเชียงราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ขอนแก่น, นครราชสีมา, อุดรธานี, สุรินทร์, อุบลราชธานี และ มุกดาหาร ภาคใต้ ได้แก่ ทุ่งสง, สุราษฎร์ธานี, หาดใหญ่ และภูเก็ต
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายศูนย์บริการเพิ่มในปีนี้ เพื่อรองรับการขยายตัว ของตลาดอีกต่อไปซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการวางแผนการลงทุน ด้วยปัจจัยต่างๆที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ทางบริษัทฯมีความมั่นใจว่า ในปีนี้ทางบริษัทฯ จะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ 900 คัน หรือประมาณ 3,600 ล้านบาท ได้อย่างแน่นอน
นายประณิธาน กล่าวเพิ่มเติมว่าในโอกาส 100 ปีโคมัตสุ ทาง บางกอกโคมัตสุ ผลิตและส่งออกรถขุดตักโคมัตสุ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้ ได้มีแนวคิดในการรณรงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกที่ดีให้พนักงานทุกคน ของโคมัตสุที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก ร่วมกันปลูกต้นไม้เพียงคนละ 1 ต้นที่บ้าน หรือในสถานที่ทำงาน เพื่อเพิ่มพื้นที่ สีเขียวให้องค์กรและบ้านของพนักงานทุกหลังเพื่อให้เกิดสิ่งดีๆ เหล่านี้ คือ
- ต้นไม้ช่วยกระตุ้นให้พนักงานเกิดแรงจูงใจในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือ เหตุผลหลักว่าองค์กรต้องมี Co-Working Space คือ สถานที่ทำงานของทุกคนที่มีองค์ประกอบเป็นพื้นที่สีเขียวอยู่ด้วย
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีกับองค์กร เพราะการมีพื้นที่สีเขียวในองค์กรแสดงถึงการดูแลใส่ใจ และเป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อมและยังช่วยสร้างบรรยากาศในการทำงานอย่างมีความสุข
- พื้นที่สีเขียวช่วยให้สภาพแวดล้อมที่ดีแล้ว และต้นไม้ยังช่วยสร้างอากาศอันบริสุทธิ์กับองค์กรอีกด้วย
ที่สำคัญ พื้นที่สีเขียว จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีกับองค์กร และยังกระตุ้นพนักงานรักษ์โลก และสิ่งแวดล้อมส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานกับคนในองค์กร แน่นอนว่า พื้นที่สีเขียวภายในองค์กร เป็นหัวใจหลักที่ทุกคนครอบครัว “โคมัตสุ” ทั่วโลกต้องช่วยกันดูแลอย่างยั่งยืน” นายประณิธาน กล่าวในที่สุด