ภาคอุตสาหกรรมไทยในปี 2568 ยังมีแนวโน้มทรงตัว ซึ่งเป็นผลของฐานต่ำจากปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้มีแรงหนุนจากการขยาย ตัวของภาคการท่องเที่ยว การส่งออกสินค้า และการลงทุนภาคเอกชน รวมถึง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล ยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ประกอบกับ มาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งการใช้จ่ายผ่านโครงการต่างๆ เช่น Easy E-Receipt และดิจิทัลวอลเล็ต มาตรการวีซ่าฟรี(Free-Visa) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นต้น ตลอดจนมาตรการส่งเสริมการลงทุน
ปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศและการจ้างงานปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังมีทิศทางเติบ โตได้ซึ่งช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้าไทย สอดคล้องกับการเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อเปิดตลาดประเทศคู่ค้าใหม่ๆ และยังมีปัจจัยหนุนจากการย้ายฐานการผลิตเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยใน อนาคต
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ซึ่งส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถ ในการแข่งขัน เช่น ปัญหาต้นทุนการผลิต หนี้ภาคธุรกิจและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูง ภาระหนี้ครัวเรือนที่กดกันกำลังซื้อในประเทศ ผลกระทบ จากสินค้าจีนเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศและประเทศคู่ค้า รวมถึง ปัญหาการเปลี่ยนเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
นอกจากนี้ ยังมีความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในตะวันออกกลางและสงครามรัส เซีย-ยูเครนและความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และประเทศอื่นๆ ที่อาจใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (NTM/NTB) เพิ่มขึ้น รวม ถึง มาตรการทางการค้าที่เกี่ยวกับด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง ภาวะตลาดมีการแข่งขันรุนแรงขึ้นและคู่แข่งเพิ่มขึ้นในภูมิภาค และยังมีความ ท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ปัจจัยเหล่านี้กดดันภาคอุตสาหกรรมไทยมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้แนวทางการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมไทยในปี 2568 จะมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาปรับใช้ในการ ดำเนินธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และยกระดับมาตรฐานสินค้าให้เป็น ที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังเร่งปรับโมเดลธุรกิจให้เข้าไปมีส่วนใน Supply Chain อุตสาหกรรมเป้าหมาย และสร้างพันธมิตรเพื่อให้ไทยอยู่ในห่วงโซ่การผลิตโลก (Supply Chain Security) ตลอดจนการลงทุนใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวน การผลิต รวมทั้งการดำเนินธุรกิจตามแนวคิด ESG และพัฒนาอุตสาหกรรมด้วย BCG Model เพื่อปรับตัวสู่เป้าหมาย Net Zero
*จับตานโยบายเศรษฐกิจ "ทรัมป์" ฉุดเศรษฐกิจโลก
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ใน ช่วงกลางดึกคืนนี้ต้องจับตาดูว่าจะมีความชัดเจนเรื่องนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างไร ซึ่งธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงิน ระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากการประกาศนโยบายสงครามการค้าในช่วงหาเสียง หากดำเนินการจริงจะบั่นทอน ให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ชะลอตัวลงจาก 2.7% เหลือ 2.4%
ในส่วนของประเทศไทยนั้นน่าจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมทุกกลุ่มที่ส่งเข้าไปในสหรัฐฯ เนื่องจากอยู่ในเกณฑ์ที่ได้ดุลการค้าจาก สหรัฐ โดยการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ มีสัดส่วน 20% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงทรัมป์ 1 ที่เป็นผู้ส่งออกอันดับ ที่ 14 มาอยู่ที่อันดับ 12 และปัจจุบันน่าจะขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 9
แนวทางการแก้ไขปัญหานั้นจะต้องแสวงหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพเพิ่มเติมเพื่อลดสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ลง เหมือนที่จีนหัน มาเพิ่มมูลค่าทางการค้ากับภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 5.3 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อลดสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ จนส่งผลกระทบ ต่อภาคอุตสาหกรรมของไทยจาก 20 กลุ่มในปี 65 มาเป็น 25 กลุ่มในปี 67 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 30 กลุ่มในปี 68