ฟิทช์ เรตติ้งส์ ระบุในรายงานที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (22 ธ.ค.) ว่า เศรษฐกิจอินเดีย ยังคงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง โดยอุปสงค์จะยังคงขยายตัวอย่างแข็งแรงสำหรับผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยอุปสงค์ในปีนี้ (2566) ยังคงอยู่สูงกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ที่เพิ่มขึ้นของอินเดียจะช่วยเพิ่มความต้องการเหล็กด้วย และยอดขายรถยนต์จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป แม้คาดหมายว่าพลวัตรดังกล่าวอาจจะชะลอตัวหลังจากขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ (2566)
ทั้งนี้ ปัจจุบัน อินเดียมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา จีน เยอรมนี และญี่ปุ่น
รายงานของฟิทช์คาดว่า ภายในปี 2573 การขยายตัวของ GDP อินเดียจะแซงหน้าญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอินเดียจะหนุนอุปสงค์ในภาคธุรกิจ แม้มีความอ่อนแอจากการขยายตัวที่ชะลอลงในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ ๆ ก็ตาม
ขณะเดียวกัน เมื่อต้นสัปดาห์นี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัวที่ 6.3% ในปีงบประมาณปัจจุบัน (2566-2567) รวมทั้งในปีงบประมาณหน้า และยังคาดว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากความมีเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจมหภาคและด้านการเงิน
ด้านโกลด์แมน แซคส์ รีเสิร์ช คาดการณ์ในเดือนธ.ค.ปีนี้ว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียจะอยู่ที่ 6.2% ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาประเทศขนาดใหญ่ 13 ประเทศในปี 2567 ขณะที่จีนคาดว่าจะตามมาเป็นอันดับ 2 โดยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับ 4.8%
ส่วนเอสแอนด์พี (S&P) คาดว่า GDP ของอินเดียจะขยายตัวปีละ 6-7.1% ในปีงบประมาณ 2567-2569 ขณะที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของอินเดียในปีงบประมาณ 2566-2567 ขึ้น 0.50% สู่ระดับ 7% จากการคาดการณ์เดิมในการประชุมเดือนต.ค.ที่ 6.5%
กำลังโหลด
อินเดียจ่อขึ้นแท่นประเทศเศรษฐกิจขยายตัวเร็วสุดในโลกปี 67- 68
อินเดียจ่อขึ้นแท่นประเทศเศรษฐกิจขยายตัวเร็วสุดในโลกปี 67- 68
แชร์
ฐานเศรษฐกิจ
24 ธันวาคม 2566
ฟิทช์ เรตติ้งส์คาดว่า อินเดียจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะขยายตัว 6.5% ในปี 2567-2568 ขณะที่การขยายตัวของ GDP ในปี 2566-2567 ซึ่งเป็นปีงบประมาณปัจจุบันนั้น แข็งแกร่งที่ 6.9%
ฟิทช์ เรตติ้งส์ ระบุในรายงานที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (22 ธ.ค.) ว่า เศรษฐกิจอินเดีย ยังคงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง โดยอุปสงค์จะยังคงขยายตัวอย่างแข็งแรงสำหรับผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยอุปสงค์ในปีนี้ (2566) ยังคงอยู่สูงกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ที่เพิ่มขึ้นของอินเดียจะช่วยเพิ่มความต้องการเหล็กด้วย และยอดขายรถยนต์จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป แม้คาดหมายว่าพลวัตรดังกล่าวอาจจะชะลอตัวหลังจากขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ (2566)
ทั้งนี้ ปัจจุบัน อินเดียมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา จีน เยอรมนี และญี่ปุ่น
รายงานของฟิทช์คาดว่า ภายในปี 2573 การขยายตัวของ GDP อินเดียจะแซงหน้าญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอินเดียจะหนุนอุปสงค์ในภาคธุรกิจ แม้มีความอ่อนแอจากการขยายตัวที่ชะลอลงในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ ๆ ก็ตาม
ภายในปี 2573 การขยายตัวของ GDP อินเดียจะแซงหน้าญี่ปุ่น
ภายในปี 2573 การขยายตัวของ GDP อินเดียจะแซงหน้าญี่ปุ่น
ขณะเดียวกัน เมื่อต้นสัปดาห์นี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัวที่ 6.3% ในปีงบประมาณปัจจุบัน (2566-2567) รวมทั้งในปีงบประมาณหน้า และยังคาดว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากความมีเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจมหภาคและด้านการเงิน
ด้านโกลด์แมน แซคส์ รีเสิร์ช คาดการณ์ในเดือนธ.ค.ปีนี้ว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียจะอยู่ที่ 6.2% ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาประเทศขนาดใหญ่ 13 ประเทศในปี 2567 ขณะที่จีนคาดว่าจะตามมาเป็นอันดับ 2 โดยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับ 4.8%
โกลด์แมน แซคส์ รีเสิร์ช "อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียจะอยู่ที่ 6.2% ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาประเทศขนาดใหญ่ 13 ประเทศในปี 2567"
โกลด์แมน แซคส์ รีเสิร์ช "อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียจะอยู่ที่ 6.2% ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาประเทศขนาดใหญ่ 13 ประเทศในปี 2567"
ส่วนเอสแอนด์พี (S&P) คาดว่า GDP ของอินเดียจะขยายตัวปีละ 6-7.1% ในปีงบประมาณ 2567-2569 ขณะที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของอินเดียในปีงบประมาณ 2566-2567 ขึ้น 0.50% สู่ระดับ 7% จากการคาดการณ์เดิมในการประชุมเดือนต.ค.ที่ 6.5%
อัปเดตการค้าอินเดีย-ไทย
อินเดียถือเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่สำคัญของไทย ทั้งสองฝ่ายมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน (การค้าทวิภาคี)ในปี 2565 รวมกว่า 17,702.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอินเดียถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ และถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกันได้อีกมาก
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-อินเดีย ครั้งที่ 13 ณ กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในหลักการที่จะใช้การลงนามและตราประทับอิเล็กทรอนิกส์ในหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า รวมทั้งผลักดันการใช้ QR Code ผ่านการเชื่อมโยงระบบ Unified Payments Interface (UPI) ของอินเดียกับระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ของไทย เพื่อรองรับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือด้านการถ่ายทำภาพยนตร์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
นอกจากนี้ ไทยได้ขอให้อินเดียพิจารณาคำขอเปิดตลาดสินค้ามะพร้าวอ่อนของไทย พร้อมทั้งพิจารณายกเลิกมาตรการจำกัดการนำเข้ายางล้อ และโทรทัศน์สี มาตรการห้ามนำเข้าเครื่องปรับอากาศที่มีสารทำความเย็น และการจำกัดด่านนำเข้ายางพารา และไม้ตัดดอก ซึ่งอินเดียพร้อมพิจารณา