สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

บ้านปูเพาเวอร์ บุก 7 ประเทศ-ปักธงโรงไฟฟ้าสหรัฐ
18/04/2022
ข่าวอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
ท่ามกลางวิกฤตราคาพลังงานปรับสูงขึ้นทั่วโลก ได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการไฟฟ้าต้องเผชิญกับ “ต้นทุน” ค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่วิกฤตด้านพลังงานดังกล่าวกลับไม่ใช่ “ข้อจำกัด” ของ “กลุ่มบ้านปู” ที่มีเรือธงอย่าง “บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)” หรือ BPP ได้เตรียมแผนการขยายกำลังผลิตเพื่อสร้างความเติบโตทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม, ลาว, ญี่ปุ่น, จีน, อินโดนีเซีย, ออสเตรเลีย และสหรัฐ
สหรัฐบ้านใหม่ BPP
นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จะเดินทางไปสหรัฐตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน ไปจนถึงช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิด “สำนักงานแห่งใหม่” ของบ้านปู ที่เมืองออสติน หลังจากที่ BPP ได้ขยายการลงทุนเข้าไปยังสหรัฐ

โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา BPP ได้เข้าไปซื้อโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ Temple I ขนาดกำลังการผลิต 768 MW ซึ่งเป็นการถือหุ้นระหว่าง BPP สัดส่วน 50% ร่วมกับ BKV ซึ่งเป็นบริษัทลูกของกลุ่มบ้านปู 50% ถือเป็นการต่อยอดระบบ ecosystem ของกลุ่มบ้านปูในสหรัฐ “จะวางให้สหรัฐเป็นเหมือนบ้านหลังใหม่ของเรา”

ทั้งนี้ ระบบ ecosystem ของกลุ่มบ้านปูในอเมริกาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน นับจากการลงทุนของกลุ่มบ้านปูในแหล่งเชลแก๊สตั้งแต่ปี 2015-2016 การลงทุนในแหล่งเชลแก๊สในรัฐเพนซิลเวเนียปี 2020 การปิดดีลซื้อโครงการบาร์เน็ต ซึ่งทำให้ในแง่การผลิต “บ้านปู” ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 20 ในสหรัฐ

นอกจากนี้ BPP ยังได้วางฐานการผลิตไฟฟ้าใน 7 ประเทศ มีสหรัฐเป็นประเทศที่ 7 ด้วยการตั้งบริษัทลูก “BPP US” ขึ้นมา และมีการตั้ง CEO เป็นคนไทยที่อยู่ในสหรัฐ

“การเดินทางครั้งนี้จะไปดูความเป็นไปได้ในการลงทุนเพิ่มเติม แต่ที่สำคัญที่สุด performance ของโรงไฟฟ้า Temple I ต้องดีก่อน จึงจะลงทุนเพิ่มเติมได้ แต่มีโอกาสในการทำดิวดิลิเจนซ์ในช่วงครึ่งปีแรก โดยมองที่โรงไฟฟ้าแก๊ส เราอยากได้โอเปอเรติ้งแอสเซท ซื้อแล้วต้องได้ผลตอบแทนเลย ถึงการรีนิวเอเบิลอย่างลม-แสงแดด โครงการ energy storage ในรัฐอื่น ๆ ด้วย

เพราะในอเมริกานั้น ไซซ์ของรัฐเทกซัสใหญ่มากไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีมานด์ ซัพพลาย เทียบเคียงเมืองไทย ไปตรงนั้นแล้วยังมีบริษัทแม่ที่ไปลงทุนแหล่งก๊าซขนาดใหญ่เป็นท็อป 20 ในสหรัฐ และมีโรงไฟฟ้า Temple I จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าเราจะเติบโตตรงนั้นไปเรื่อย ๆ” นายกิรณกล่าว

ในส่วนของราคาพลังงาน “ถ่านหิน” ไม่ได้มีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าสหรัฐ เพราะตลาดในสหรัฐจะเป็นตลาดค้าไฟเสรี หรือ merchant market หรือตลาด bidding โดยมีคณะกรรมการคล้าย regulator ที่เรียกกว่า ERCOT ดูแล ซึ่งใช้ “กลไกตลาด”ดูแล

สำหรับภาพรวมรายได้ไตรมาส 1 ของ BPP ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่โรงไฟฟ้า Temple I มีรายได้เข้ามาเต็มไตรมาสก็จะทำให้รายได้ของ BPP เติบโตอย่างมีนัยสำคัญแน่นอน เพราะเพียงแค่ 2 เดือนแรกที่เข้าไปขายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ระหว่างเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2564 มีค่าความพร้อมจ่าย (EAF) 99.9% สามารถทำรายได้ถึง 673 ล้านบาท EBITDA 16 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท

นับว่าโรงไฟฟ้า Temple I แค่ 2 เดือนแรกก็มีส่วนช่วยให้ภาพรวมรายได้ของ BPP ปี 2021 มีมูลค่า 6,784 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23% ด้วย อีกทั้งการรวมโรงไฟฟ้า Temple 1 เข้ามาในพอร์ต ทำให้สินทรัพย์ BPP เพิ่มขึ้นเป็น 74,867 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25,304 ล้านบาท จากปี 2563

สร้างทีมเทรดดิ้งไฟรับตลาดเสรี
นายกิรณกล่าวต่อไปว่า จากภาพการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศของ BPP ทำให้เห็นว่าการเข้าไปลงทุนในประเทศที่เป็น “ตลาดค้าไฟเสรี” จะต้องทำธุรกิจค้าขายไฟฟ้า หรือ energy trading ด้วย เพราะลักษณะตลาดที่ไปลงทุนต่างกัน อย่างในประเทศไทย-เวียดนาม

หรือประเทศในภูมิภาคอาเซียนจะมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว หรือ PPA ทำให้รู้ล่วงหน้าเลยว่า รายได้ในส่วนของการขายไฟในอีก 20-25 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร มีสูตรคำนวณชัดเจน มีชั่วโมงในการเดินเครื่องชัดเจน

แต่ในประเทศญี่ปุ่น-สหรัฐ-ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่ค้าไฟเสรี ค่าไฟจะเปลี่ยนทุก ๆ 15 นาที จะไม่สามารถคาดการณ์รายได้จากค่าไฟข้างหน้าได้ “มันจะผันผวน” เพราะตลาดเสรีจะใช้หลักดีมานด์และซัพพลายเข้ามาบิดดิ้ง เช่น ในเทกซัส จะใช้ระบบ bidding ค่าไฟวันนี้เพื่อจ่ายไฟวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้ ฉะนั้น ค่าไฟในแต่ละช่วงของแต่ละวันก็จะแตกต่างกันไป

ระบบค้าเสรีไฟฟ้านี้กำลังขยายออกไปประเทศอื่น ๆ อย่างกว้างขวางมากขึ้น เช่น ที่จีนก็มีหลายพื้นที่ที่กำลังนำเรื่อง energy trading เข้าไป เวียดนามก็กำลังหารือเรื่องนี้และกำลังจะออกมาเป็นนโยบาย เพราะมันถูกพิสูจน์แล้วว่า energy trading ส่งผลดีต่อผู้บริโภค จัดเป็นเทรนด์ของ de centralization ยิ่งมีเทคโนโลยีเข้ามาก็ทำให้สิ่งเหล่านี้สามารถควบคุมได้ผ่านจากระบบมือถือ

ตั้งเป้าผลิตไฟฟ้า 5,300 MW
ปัจจุบันบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 3,242 MW ต้องเพิ่มการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตอีกประมาณ 2,100 MW เพื่อไปสู่เป้าหมาย 5,300 MW ใน 3 ปีข้างหน้า หรือปี 2568 แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมด้วย HELE (High Efficiency Low Emission) เทคโนโลยี 4,500 MW โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 800 MW

ทั้งหมดนี้จะเป็นไปตามกลยุทธ์ “Greener and Smarter” ซึ่งบ้านปู เพาเวอร์ เป็นหนึ่งในอีโคซิสเต็ม หน่วยผลิตไฟฟ้าทำงานกันอย่างใกล้ชิด สำหรับในปี 2565 BPP วางงบประมาณการลงทุนประมาณ 700 ล้านเหรียญ แบ่งเป็น 300 ล้านเหรียญ เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ และอีก 400 ล้านเหรียญ เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (renewable)

“เป้าหมาย 2,100 MW ไม่ใช่ว่าจะเอากรอบเวลา 4 ปีไปหารแล้วจะได้ยอดลงทุนในแต่ละปีได้เลย เพราะว่าบางปีก็มาเยอะ บางปีก็น้อย อย่างในปีที่แล้ว การซื้อโรงไฟฟ้า Temple I ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มเข้ามาทันที 800 MW ส่วนพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนก็มีโอกาสที่จะเข้ามามาก อย่างการลงทุนใน BERYL & MANILDRA SOLAR ที่ออสเตรเลีย ก็เข้ามาก 170 MW ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละประเทศที่เราจะเข้าไปลงทุนด้วย”
นายกิรณกล่าว

“BPP จะเดินหน้าลงทุนทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจซื้อขายไฟเสรี และเทคโนโลยีด้านพลังงาน ซึ่งเรากระจายการลงทุนไปในหลายประเทศ พยายามใช้กลยุทธ์ synergy เอาจุดแข็งของที่หนึ่งไปใช้กับอีกที่หนึ่ง ในปัจจุบัน BPP มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 3,242 MW แยกเป็นกำลังผลิตภายในประเทศไทย จากโรงไฟฟ้า BLCP (กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 717 MW)

และในประเทศลาว จากโรงไฟฟ้า HPC (กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 751 MW) รวมเป็น 1,468 MW หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45% จากกำลังผลิตรวม แต่ในอนาคตสัดส่วนการขยายไปสร้างการเติบโตนอกบ้านจะเพิ่มขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะในประเทศที่มีศักยภาพเดิมที่ลงทุนไว้และประเทศใหม่ ๆ เพราะไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอย่างไร ความมั่นคงทางพลังงานจะต้องเป็นสิ่งที่จำเป็นเสมอ” นายกิรณกล่าว
ที่มาของข่าว: ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.