เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 65 นายพัชร สมะลาภา
กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ผลกระทบกับภาคการส่งออกของประเทศไทย
จากสถานการณ์กองทัพรัสเซียเข้าโจมตียูเครนขึ้นอยู่กับการขยายวงความรุนแรง
และมาตรการตอบโต้โดยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Economic Sanctions) จากนานาประเทศ
ทั้งนี้ ผลกระทบต่อประเทศไทยในปัจจุบัน
คือ ราคาน้ำมัน ยิ่งสถานการณ์มีความตึงเครียด ยิ่งส่งผลต่อต้นทุนพลังงาน
ต้นทุนธุรกิจ ราคาสินค้า และอัตราเงินเฟ้อ
ซึ่งเป็นด้านที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากที่สุด
ขณะที่ตลาดเงินตลาดทุนของไทยมีความผันผวนสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนอาจย้ายไปสู่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามคือ
สถานการณ์ดังกล่าวจะยกระดับความรุนแรงมากยิ่งขึ้นหรือไม่ รวมถึงประเด็นสำคัญคือ
มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Economic Sanctions) จากประเทศต่างๆ
ที่จะนำมาใช้กับรัสเซีย ซึ่งจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจและตลาดเงินของรัสเซีย
และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานในยุโรป
รวมถึงสถาบันการเงินและภาคธุรกิจของยุโรปที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจในรัสเซีย
ซึ่งอาจทำให้การค้าระหว่างไทย-รัสเซีย-ยูเครน มีอุปสรรคในการทำธุรกรรมทางการเงิน
ทั้งการหาธนาคารรับรองการเปิดบัญชีธุรกิจข้ามชาติ
(แอล/ซี) การชำระเงิน การโอนเงินต่างๆ เป็นต้น
และหากสถานการณ์พลิกผันไปสู่สงครามที่ขยายวงกว้าง
เศรษฐกิจโลกอาจจะเข้าสู่ภาวะหดตัว
และเกิดภาวะเงินเฟ้อในระดับสูงจากราคาพลังงานที่พุ่ง (Stagflation)
แต่เชื่อว่าหลายฝ่ายมีความพยายามที่จะเจรจาให้มีข้อยุติโดยเร็ว
โดยธนาคารกสิกรไทยจะเฝ้าระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจของลูกค้า
และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
โดยในปี 2564
ไทยส่งออกไปรัสเซียมีมูลค่าประมาณ 1,028
ล้านดอลลาร์ฯ เติบโตสูงถึง 42% โดยการส่งออกไปรัสเซียคิดเป็นสัดส่วนราว 0.4%
ของมูลค่าการส่งออกไทยไปตลาดโลก ขณะที่สินค้าส่งออกหลักของไทยไปตลาดรัสเซีย ได้แก่
รถยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกล ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เม็ดพลาสติก
เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ซึ่งสินค้าเหล่านี้หลายรายการเป็นการส่งออกภายใต้สิทธิ GSP
ที่ไทยได้รับจากกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช หรือ CIS
(Commonwealth of Independent States มีสมาชิก 12 ประเทศ
รวมรัสเซีย)
ส่วนยูเครนนั้น ในปี 2564 ไทยส่งออกไปเป็นมูลค่าประมาณ 135 ล้านดอลลาร์ฯ
เติบโตสูง 35.7% เช่นกัน แต่สัดส่วนยังน้อยอยู่มาก
โดยสินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป
อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เม็ดพลาสติก เป็นต้น
สำหรับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ของธนาคารกสิกรไทยที่มีการค้าขายกับคู่ค้าในรัสเซียและยูเครน
ส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับการเกษตร อุปกรณ์ก่อสร้าง
ผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์
อย่างไรก็ตามมูลค่าการค้าขายกับคู่ค้าในรัสเซียและยูเครนมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าการค้าต่างประเทศทั้งหมด
โดยธนาคารได้ติดตามสถานการณ์ระหว่างยูเครนและรัสเซียอย่างใกล้ชิด
รวมถึงให้คำแนะนำกับลูกค้าให้ระมัดระวังเรื่องการทำธุรกรรมการค้าต่างประเทศกับทั้ง
2
ประเทศในช่วงนี้ เนื่องจากสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอน
กรณีมีการนำเข้า-ส่งออก หรือธุรกรรมโอนเงินกับทั้ง 2 ประเทศ
อาจมีความเสี่ยงได้รับเงินล่าช้า ทั้งกรณีคู่ค้าที่อยู่ในประเทศไทย รัสเซีย
ยูเครน.