ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยปี
2564 ให้ภาพการเติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี สะท้อนจาก
ดัชนีการส่งสินค้าในหมวดเครื่องยนต์ดีเซลเพื่อการเกษตรในช่วง 11
เดือนแรกของปีที่ขยายตัวกว่าร้อยละ 42.1 (YoY)
จากปัจจัยผลักดันสำคัญในฝั่งของอุปสงค์ที่เกษตรกรมีรายได้ในเกณฑ์ดี อีกทั้ง Pent Up Demand ที่พุ่งขึ้น
ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
และราคาสินค้าเกษตรในประเทศขยายตัวดี
นอกจากนี้ จำนวนแรงงานกลับถิ่นที่ขยายตัวเร่งขึ้น รวมถึงสภาพภูมิอากาศที่เอื้อต่อการเพาะปลูกจากปริมาณน้ำฝนที่อยู่ในเกณฑ์ดี ล้วนเป็นปัจจัยหนุนอุปสงค์ของตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรไทยให้ขยายตัวได้ดี
โดยคาดว่า ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทย (ผลิตเอง +นำเข้า) ในปี 2564
อยู่ที่ราว 83,269 ล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 22.5 (YoY)
มองต่อไปในปี
2565 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยในปี 2565
น่าจะให้ภาพการขยายตัวต่อไปได้จากปัจจัยหนุนด้านอุปสงค์เป็นสำคัญ
แต่คงเป็นการขยายตัวแบบชะลอลง จาก Pent Up Demand ที่คลี่คลายมากขึ้น และแรงงานกลับถิ่นที่น่าจะน้อยกว่าปีก่อน โดยตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรคงเติบโตสอดคล้องไปกับราคาสินค้าเกษตรที่ยังยืนอยู่ในเกณฑ์ดี
ขณะที่ในฝั่งของอุปทานยังต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคากับเครื่องจักรกลการเกษตรของจีนที่มีราคาถูก
รวมถึงต้นทุนการผลิตอย่างราคาน้ำมันและเหล็กที่อยู่ในระดับสูง อันจะทำให้ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยมีการเติบโตต่อไปได้อย่างระมัดระวัง
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า
มูลค่าตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยในปี 2565 อาจอยู่ที่ราว 84,600-87,900
ล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 1.6-5.6 (YoY) นับเป็นการขยายตัวที่ชะลอลงหลังจากน่าจะผ่านจุดสูงสุดมาแล้วในปี
2564 ซึ่งจะยังเป็นการขยายตัวบนฐานที่สูง และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 73,256
ล้านบาท (ปี 2559-2563)
โดยปัจจัยหนุนที่ทำให้ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรยังขยายตัวต่อไปได้
คงมาจากปัจจัยด้านอุปสงค์เดิมที่มีต่อเนื่องจากปีก่อน แต่คงชะลอลง โดยมีรายละเอียด
ดังนี้
-Pent
Up Demand ที่คลี่คลายมากขึ้น
สะท้อนผ่านมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยที่น่าจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ
2.0-5.8 (YoY) และราคาสินค้าเกษตรในประเทศที่อาจขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ
0.8-2.9 (YoY)
-แรงงานกลับถิ่นที่น่าจะมีจำนวนน้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับกำลังซื้อของแต่ละบุคคล
โดยเกษตรกรบางส่วนอาจมีการลงทุนซื้อไปแล้วในปีก่อน
และยังขึ้นอยู่กับการประเมินความคุ้มค่าที่จะลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่
ล้วนส่งผลต่ออุปสงค์ให้อาจชะลอลง
-ผลผลิตทางการเกษตรในระดับสูงใกล้เคียงปีก่อน
เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตและการสนับสนุนจากภาครัฐที่ต่อเนื่อง
ทั้งในรูปแบบของการช่วยเหลือเกษตรกรเฉพาะหน้าอย่างโครงการประกันรายได้เกษตรกร
การสนับสนุนการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรอย่างสินเชื่อเครื่องจักรกลการเกษตรจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โครงการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI รวมถึงแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลไทย
ระยะที่ 1 (ปี 2565-2570)
ล้วนจูงใจให้เกษตรกรยังมีความต้องการผลิตสินค้าเกษตรต่อเนื่องจากปีก่อน
อย่างไรก็ดี
คงต้องจับตาสถานการณ์โควิด-19 จากเชื้อกลายพันธุ์ (Omicron) ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
ซึ่งอาจกระทบต่ออุปสงค์และส่งผลต่อตัวเลขคาดการณ์มูลค่าตลาดให้ต่ำกว่ากรอบล่างที่ประเมินได้
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
มองว่า ในปี 2565 ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรน่าจะเติบโตต่อไปได้สอดคล้องกับอุปสงค์ในสินค้าเกษตรที่มีราคาอยู่ในเกณฑ์ดี
เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง ผลไม้ (ทุเรียน) และอ้อย
(เทรนด์โลกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
จะทำให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยต้องปรับตัวด้วยการหันมาใช้เครื่องจักรทดแทนแรงงานมากขึ้น
เช่น เครื่องเก็บเกี่ยวอ้อย
เพื่อลดการเผาอ้อยที่จะก่อให้เกิดภาวะฝุ่น/มลพิษทางอากาศ)
ขณะที่สินค้าเกษตรที่แม้จะมีราคาไม่สูงนัก
แต่อาจกระเตื้องขึ้นได้และมีความสำคัญต่อเกษตรกรจำนวนมากอย่างข้าว
นับว่าจะยังเป็นสินค้าเกษตรที่ช่วยหนุนอุปสงค์เครื่องจักรกลการเกษตรของไทยโดยเฉพาะรถแทรกเตอร์และเครื่องเก็บเกี่ยวข้าว
นอกจากนี้ จากเทรนด์โลกที่หันมารักสุขภาพมากขึ้น
จะช่วยหนุนให้พืชเกษตรอย่างสมุนไพร กัญชง ข้าวออร์แกนิค ให้มีราคาอยู่ในระดับสูง
ประกอบกับความต้องการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง
เพื่อลดข้อจำกัดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
จะช่วยหนุนให้เครื่องจักรกลการเกษตรอย่างโรงงานผลิตพืช การปลูกพืชในระบบปิด
โดรนเพื่อการเกษตร เครื่องจักรที่นำระบบ Automation/AI/IoTs/Sensors
เข้ามาใช้ จะมีบทบาทในภาคเกษตรมากขึ้นในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ดี
แม้คาดว่าในฝั่งของอุปสงค์จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ผลักดันตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยในปี
2565 ให้ไปต่อได้
แต่คงต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงด้านอุปทานหรือผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่ายเครื่องจักรกลการเกษตรที่อาจต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาเครื่องจักรกลการเกษตรจากจีนที่ถูกกว่าไทย ต้นทุนการผลิตอย่างราคาน้ำมันและเหล็กในตลาดโลกที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง
ล้วนส่งผลกระทบต่ออุปทานและอาจส่งผลต่อภาพรวมตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยให้เติบโตไปได้อย่างระมัดระวัง
ดังนั้น
แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการเครื่องจักรกลการเกษตร ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเครื่องจักรกลการเกษตรไทยในระยะข้างหน้าคือ
การวิจัยและพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตรที่ตรงตามความต้องการของตลาดและสอดคล้องไปกับการใช้งานที่เหมาะสมในแต่ละสภาพพื้นที่ปลูกของพืช
ควบคู่ไปกับเทรนด์ที่มุ่งสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อันจะเป็นการยกระดับไปสู่การผลิตแบบเกษตรสมัยใหม่
เช่น การนำระบบ Automation/AI/IoTs/Sensors เข้ามาใช้ร่วมด้วยในพื้นที่เกษตรของไทยที่ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและถือครองด้วยเกษตรกรรายย่อย
ดังนั้น
จึงควรเป็นราคาเครื่องจักรกลการเกษตรที่เกษตรกรเข้าถึงได้ง่ายและสามารถทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาดได้
เช่น รถแทรกเตอร์อัตโนมัติ/ไร้คนขับ เพื่อใช้ในแปลงนาข้าวขนาดเล็ก-กลาง
หรือหุ่นยนต์เก็บเกี่ยวผลไม้อัตโนมัติที่สามารถใช้งานได้ในพื้นที่ไม่ใหญ่นัก
เป็นต้น นอกจากนี้ การแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความรู้