สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน เจาะลึกตู้สินค้าหายไปไหน?
24/06/2021 10:00
ข่าวอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล

          ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ถูกยกระดับเป็นวิกฤตโลจิสติกส์ทั่วโลกในปี 2564 ส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าขนส่ง และระยะเวลาส่งสินค้าที่ใช้เวลามากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นปัญหาลูกโซ่ไปถึงซัพพลายเชนการผลิต ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปในหลายอุตสาหกรรม สุดท้ายบานปลายถึงราคาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้น

ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน เกิดขึ้นได้อย่างไร?

          นับตั้งแต่ช่วงปลายที่แล้ว ท่าเรือลอสแองเจลิสซึ่งเป็นรู้จักในฐานะท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา และท่าเรือลองบีช (Long Beach) ที่อยู่ข้างเคียง และเป็นท่าเรือที่ถูกใช้เป็น “เกทเวย์” ในการลำเลียงสินค้าไปมาระหว่างสหรัฐอเมริกาและเอเชียกำลังตกอยู่ในสภาวะยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีปริมาณการไหลเข้าออกของสินค้าที่พุ่งทะยานสวนทางกับการรองรับของท่าเรือ

          Mr. Miyamae Naoyuki นักวิเคราะห์โลจิสติกส์จาก Nomura Research Institute วิเคราะห์ว่า วิกฤตตู้คอนเทนเนอร์เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย โดยมีปัจจัยหลักคือการผลิตตู้คอนเทนเนอร์ใหม่ที่ลดลง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่เป็นกราฟตัว V และปัญหาขาดแคลนแรงงานในท่าเรือ ทำให้การหมุนเวียนตู้สินค้าไม่เป็นไปตามต้องการ และมีตู้สินค้าตกค้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน ตู้คอนเทนเนอร์กว่า 90% ถูกผลิตในประเทศจีน เนื่องจากปัญหาสงครามการค้าในปี 2019 ทำให้สหรัฐอเมริกาลดการผลิตตู้คอนเทนเนอร์ลง 40% และหลายฝ่ายกังวลว่าการส่งออกสินค้าจากสหรัฐฯ ไปยังจีนจะลดลงมากขึ้น ซึ่งเมื่อย่างเข้าสู่ปี 2020 การระบาดของโควิดทำให้การผลิตตู้สินค้าจากสหรัฐฯ ลดจำนวนลงไปอีก

          อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เศรษฐกิจจีนกลับฟื้นตัวอย่างรวดเร็วช่วงเดือนเมษายน 2020  โดยเฉพาะกำลังการผลิตยานยนต์ เครื่องจักรกล และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การส่งออกสินค้าทางเรือของจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา

          ในทางกลับกัน ผู้บริโภคสหรัฐฯ มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมา Work From Home และเรียนออนไลน์ ทำให้เกิดการนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากจีนจำนวนมาก ส่งผลให้ปริมาณตู้สินค้าที่เข้ามายังท่าเรือลอสแองเจลิสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020

          สหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NRF) รายงานว่า ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2020 (พฤศจิกายน - ธันวาคม) มูลค่าการค้าปลีกในสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงถึง 789,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 ถึง 8.3% ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดย NRF เปิดเผยว่า ผู้บริโภคหลายรายมีเงินเก็บมากขึ้นจากช่วงล็อคดาวน์ และเมื่อมีมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลร่วมกับโปรโมชันส่งเสริมการขายของห้างร้านต่าง ๆ ในช่วงสิ้นปีแล้ว จึงทำให้เกิดการซื้อสินค้าจำนวนมาก และเป็นส่วนหนึ่งที่หนุนให้ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์รุนแรงยิ่งขึ้น

          ปัจจัยเหล่านี้เองทำให้ตู้คอนเทนเนอร์จากเอเชียตกค้างอยู่ที่สหรัฐฯ จำนวนมาก และยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สืบเนื่องจากมาตรการป้องกันโรค และการระบาดระลอกใหม่ในช่วงต้นปีทำให้ท่าเรือมีแรงงานไม่เพียงพอ ทำให้ไม่อาจส่งตู้สินค้าคืนกลับไปยังเอเชียได้ทันความต้องการใช้งาน

ตู้สินค้าขาดแคลน กระทบภาคอุตสาหกรรมอย่างไร?

          แน่นอนว่าการขาดแคลนตู้สินค้าย่อมส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยในอุตสาหกรรมหลักได้รับผลกระทบ ดังนี้

  • อุตสาหกรรมยานยนต์ การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น ซึ่งซัพพลายเออร์ของโตโยต้าหลายรายเปิดเผยว่า การส่งชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังสหรัฐฯ ใช้เวลามากกว่าที่ผ่านมาถึงเท่าตัว ในขณะที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนอีกรายแสดงความกังวลต่อฐานการผลิตยานยนต์ที่ต้องใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศ 
  • อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล ประสบปัญหาด้านการจัดส่ง ทำให้ไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้ตามกำหนด ซึ่งจะกระทบแผนการผลิตเป็นอย่างมาก อีกทั้งมีต้นทุนการจัดส่งที่แพงขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
  • อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ประสบปัญหาต้นทุนสูงขึ้นจากค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ หลายบริษัทจึงจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าบางส่วน เช่น อีพ็อคซี่, เรซิ่น, พลาสติกทนความร้อน, และอื่น ๆ  ซึ่งจะกระทบอุตสาหกรรมที่ต้องใช้สินค้าเหล่านี้ทั้งหมด

ขนส่งสินค้าทางอากาศ โอกาสใหม่ของโลจิสติกส์

          อัตราค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2020 ยกตัวอย่างเช่น ค่าระวางเรือจากท่าเรือลอสแองเจลิส มายังทาเรือโยโกฮาม่า ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มจากเดือนมกราคมปี 2020 ถึง 2 เท่า และแน่นอนว่าในประเทศอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกันมากนัก ซึ่งผู้บริหารบริษัทโลจิสติกส์รายใหญ่จากญี่ปุ่นแสดงความเห็นว่า “อาจจำเป็นต้องพิจารณาเช่าเครื่องบินเหมาลำแทน”

          ซึ่งแนวทางเช่นนี้เอง เป็นสิ่งที่ผู้ผลิตอากาศยาน และสายการบินคาดการณ์ตรงกัน เนื่องจากความต้องการขนส่งสินค้ามีแต่จะเพิ่มขึ้น โดย ANA Holdings รายงานว่าในปีงบประมาณ 2020 รายได้จากการขนส่งสินค้าทางอากาศของบริษัทปิดที่ 1.605 แสนล้านเยน หรือราว 1,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 56.3% จากปีงบประมาณก่อนหน้า ในขณะที่ Japan Airline ปิดที่ 1.288 ล้านเยน หรือราว 1,160  ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 40.6% 

          แน่นอนว่าหากอุตสาหกรรมโลจิสติกส์เปลี่ยนมาใช้การขนส่งสินค้าทางอากาศแทน การส่งสินค้าต่าง ๆ ก็จะรวดเร็วมากขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการสินค้าหลายชนิดได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มี Lead Time สูง และช่วยให้วิกฤตชิปขาดตลาดรุนแรงน้อยลงได้ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นก็ยังเป็นอุปสรรคอยู่ว่าควรจะหันมาส่งสินค้าทางอากาศแทนดีหรือไม่

ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางเรือทั่วโลก

          กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การ?ขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (MLIT) รายงานว่า ในช่วงปี 2010 - 2019 ปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางเรือเพิ่มขึ้นรวม 1.4 เท่า โดยมีเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) เป็นภูมิภาคที่มีการใช้งานตู้คอนเทนเนอร์สูงสุด โดยประเทศที่ใช้งานตู้สินค้าจำนวนมากคือจีน และสิงคโปร์

 
 

สรุป

          วิกฤตขาดแคลนตู้สินค้าเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย โดยมีปัจจัยหลักคือการผลิตตู้สินค้าใหม่ที่ลดลง, การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่เป็นกราฟตัว V, และปัญหาขาดแคลนแรงงานในท่าเรือ ทำให้การหมุนเวียนตู้สินค้าไม่เป็นไปตามต้องการ และมีตู้สินค้าตกค้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

          ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนได้ลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนทั่วโลก ซึ่งสินค้าหลายชนิดทั่วโลกได้ปรับขึ้นราคาแล้ว

ที่มาของข่าว: M Report

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.