โดยมีปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้ยานยนต์ดีเซลในภาคขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระดับเฉลี่ย 3.0% ต่อปี ,การขยายตัวของธุรกิจ E-commerce โดย e-Conomy SEA 2020 คาดว่ามูลค่าตลาด E-commerce ของไทยจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2568 จาก 9 พันล้านดอลลาร์ปี 2563 หรือเติบโตเฉลี่ย 21.0% ต่อปี จะหนุนความต้องการรถขนส่งเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะรถปิกอัพ และจำนวนรถเครื่องยนต์ดีเซลสะสมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.0-4.0% ต่อปี
ส่วนมาตรการสร้างสมดุลน้ำมันปาล์มจากภาครัฐจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนความต้องการใช้ไบโอดีเซล จากการประกาศใช้น้ำมัน B10 เป็นดีเซลเกรดมาตรฐานแทน B7 ในปี 2563 และมีโอกาสเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป
เมื่อพิจารณาปัจจัยหนุนด้านอุปทานน้ำมันปาล์มในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผลจากนโยบายภาครัฐส่งเสริมให้ขยายพื้นที่ปลูกปาล์มเป็น 10 ล้านไร่ภายในปี 2572 จาก 5.9 ล้านไร่ปี 2563 ทำให้ปริมาณน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.0-3.2 ล้านตันต่อปี ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบคาดว่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับปัจจุบัน
โดยมาตรการภาครัฐข้างต้นยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ มาเลเซีย กำหนดเป้าหมายใช้ B20 (น้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐาน) ในเดือนธันวาคม 2564 จาก B10 ในปัจจุบัน และอินโดนีเซีย กำหนดใช้ B40 ในปี 2565 จาก B30 ในปัจจุบัน
ผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่มีแนวโน้มพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลเพื่อรองรับการใช้ไบโอดีเซลในสัดส่วนที่สูงขึ้น ทั้งรถขนาดใหญ่ รถปิกอัพ รถอเนกประสงค์และรถบรรทุก โดยปัจจุบัน อีซูซุและโตโยต้ามีส่วนแบ่งตลาดรถปิกอัพที่รองรับน้ำมัน B20 รวมกันประมาณ 80% ของยอดขายรถปิกอัพทั้งหมด
วิจัยกรุงศรีคาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในประเทศจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.0-3.0% ต่อปี ในช่วงปี 2564-2566 โดยน้ำมันดีเซล B7 จะมีปริมาณการใช้ลดลงเหลือ 28.0-30.0 ล้านลิตรต่อวันจาก 43.8 ล้านลิตรต่อวัน ปี 2563 ขณะที่ B10 จะเพิ่มขึ้นเป็น 32.0-38.0 ล้านลิตรต่อวันจาก 16.2 ล้านลิตรต่อวัน ปี 2563
ส่วน B20 คาดว่าจะมีปริมาณการใช้ไม่มากนัก เนื่องจากราคาใกล้เคียงกับ B7 และ B10 (ผลจากภาครัฐมีแนวโน้มลดการสนับสนุนด้านราคาเพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบกับผู้บริโภคมีความกังวลว่า B20 อาจส่งผลต่อเครื่องยนต์ในระยะยาว หรืออาจต้องมีการปรับจูน/ติดตั้งอุปกรณ์เครื่องยนต์ใหม่)
อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาครัฐจะผลักดันให้ใช้ไบโอดีเซลผสมในน้ำมันดีเซลด้วยสัดส่วนที่สูงกว่า B10 เมื่อมีความพร้อมในระยะต่อไป (ทางการวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลที่ 23% ภายในปี 2580)
ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่าความต้องการใช้ไบโอดีเซลที่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเพิ่มกำลังการผลิต ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมไบโอดีเซลจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 60.0-62.0% ของกำลังการผลิตทั้งหมด จาก 59.0% ปี 2563
ปัจจัยท้าทายของอุตสาหกรรมในระยะต่อไป ได้แก่
(1) การบริหารจัดการต้นทุนการผลิตในแต่ละช่วงเวลา เนื่องจากน้ำมันปาล์มดิบอาจขาดแคลนได้ในบางช่วง ซึ่งจะผลักดันให้ราคาปรับสูงขึ้น
(2) การสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคเชื่อถือด้านคุณสมบัติของน้ำมันไบโอดีเซล เนื่องจากเครื่องยนต์ดีเซลของรถจะมีความแตกต่างกันตามประเภทการใช้งาน การรับรองคุณภาพจากผู้ผลิตรถยนต์ในการใช้ B10 และ B20 ได้อย่างปลอดภัยกับรถยนต์ดีเซลจึงเป็นสิ่งจำเป็นในระยะยาว
อีกทั้งยังต้องติดตามแนวโน้มการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าที่อาจกระทบความต้องการใช้ไบโอดีเซล โดยกระทรวงพลังงานตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไว้ที่สัดส่วน 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ภายในปี 2573 (ปี 2563 ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 3.5% ของยอดจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด) และคาดว่าในปี 2568 รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาเทียบเท่ารถยนต์สันดาป ซึ่งจะทำให้ความต้องการบริโภคน้ำมันรวมถึงไบโอดีเซลชะลอตัวในอนาคต
สรุปมุมมองวิจัยกรุงศรี ประเมินว่าปี 2564-2566 คาดว่าอุตสาหกรรมไบโอดีเซลจะเติบโตต่อเนื่อง อานิสงส์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะทยอยฟื้นตัวและการเติบโตของธุรกิจการค้าออนไลน์ รวมถึงมาตรการรัฐที่สนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลเป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรปาล์มน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของปริมาณวัตถุดิบน้ำมันปาล์มดิบและราคาที่อาจถูกแทรกแซงจากทางการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร อาจกระทบต่อความสม่ำเสมอของผลประกอบการในอนาคต