จากการที่ เศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็น ประเทศผู้ผลิตและใช้สินค้าเหล็กเกินครึ่งหนึ่งของโลก ได้ฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2563 หลังปัญหาโรคโควิด-19 ได้คลี่คลายลง โดยจีนได้อัดเม็ดเงินในโครงการก่อสร้างภาครัฐจำนวนมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้มี ความต้องการใช้เหล็กเพิ่มมากขึ้น ในโครงการก่อสร้างและในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ ขณะเดียวกัน ผลพวงจากการที่รัฐบาลจีนได้สั่งให้โรงงานเหล็กในจีนที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งมีอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานเหล็กในนครถังซานซึ่งเป็นเมืองหลวงอุตสาหกรรมเหล็กของจีนได้ปิดโรงงานบางส่วนลงชั่วคราวเร็วขึ้น จากปกติปิดช่วงฤดูหนาว ขยับมาปิดในช่วงเดือนมีนาคมถึงมิถุนายนเพื่อลดมลภาวะทางอากาศ ทำให้ กำลังผลิตเหล็กของจีนหายไป กว่า 40 ล้านตัน และรัฐบาลจีนยังได้ประกาศยกเลิกการให้คืนภาษี (Rebate Tax) 13% สำหรับสินค้าเหล็กส่งออก มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2564 เพื่อสงวนเหล็กไว้ใช้ในประเทศนั้น
นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้จีนมีเหล็กไม่เพียงพอใช้ในประเทศ ต้องมีการนำเข้า และมีสินค้าส่งมาทุ่มตลาดต่างประเทศลดลง โดยในปี 2563 จีนมีการนำเข้าสินค้าเหล็กจากต่างประเทศ 18.3 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6 เท่าจากปี 2562 และในไตรมาสแรกปีนี้จีนมีความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นถึง 52% (จีนใช้เหล็กปีหนึ่ง 800-900 ล้านตัน) โดย สินค้าเหล็กที่จีนนำเข้ามากสุด 3 อันดับแรกได้แก่
- เหล็กแผ่นรีดร้อน
- เหล็กแผ่นรีดเย็น
- เหล็กแผ่นเคลือบ
ทำให้ สินค้าเหล็กดังกล่าวที่จีนแย่งซื้อในตลาดโลกเกิดการขาดแคลนและราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง