นอกจาก อุตสาหกรรมก่อสร้างไทย จะได้รับ ผลกระทบรุนแรงจากการระบาดไวรัสโควิด-19 แล้วยังถูกซํ้าเติมจาก ความผันผวนของราคาเหล็ก ที่ปรับตัวสูงเฉลี่ย 50-80% นับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาคาดว่าจะขยับต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปีส่งผลให้ภาคเอกชนต้องแบกภาระต้นทุนส่วนต่างโดยเฉพาะ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรัฐ ที่เซ็นสัญญาแล้ว นับตั้งแต่ กลางปี 2562-2564 จำนวน 50,000-60,000 สัญญาตั้งแต่โครงการขนาดเล็กในท้องถิ่นจนถึงโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงโครงการใหม่เตรียมนำออกประมูลในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ ถนน สะพาน ฯลฯ ที่อ้างอิงราคากลางเดิม เช่นเดียวกับค่าปรับราคาตามความผันผวนเศรษฐกิจหรือค่าเคอยู่ที่บวก-ลบ 4% มองว่าไม่สะท้อนราคาที่แท้จริง และในระยะยาวหากไม่ได้รับการแก้ไข เชื่อว่า ภาครัฐอาจได้รับความเสียหายจากการทิ้งงานของผู้รับจ้าง และอีกหลายโครงการส่งมอบล่าช้า สร้างกระทบต่อ เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศที่รัฐบาลใช้โครงสร้างพื้นฐานขับเคลื่อนขณะต้นตอของปัญหาเกิดจากทุกประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะจีนมีความต้องการใช้เหล็กสูง เพื่อฟื้นฟูประเทศโดยลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และเนื่องจากต้องใช้เหล็กในปริมาณมาก ทำให้ไม่มีการส่งออกเป็นเหตุให้กระทบในวงกว้างมาถึงปัจุบัน
เหล็กพุ่งบิ๊กตู่ต้องช่วย
นางสาวลิซ่า งามตระกูล พานิช นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 สมาคมฯได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาลให้ช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งระบบก่อนสถานการณ์จะสายเกินไปเพราะเนื่องจากเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวที่จะใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศได้
สำหรับหัวใจสำคัญขอให้ยกเลิกค่าเคบวก-ลบ4% เป็นการชั่วคราวออกไป2ปีนับตั้งแต่ เดือนมกราคม 2564-ธันวาคม 2565 ครอบคลุมโครงการที่เซ็นสัญญาแล้วและ โครงการที่ยังไม่ได้จัดซื้อจัดจ้างโดยให้ยึดราคาวัสดุก่อสร้างที่สะท้อนราคาปัจจุบัน และทุกหน่วยงานควรประเมินราคากลางใหม่ทั้งหมดก่อนนำออกประกวดราคา หากรัฐเพิกเฉย เกรงว่าเอกชนอาจไม่มีใครกล้ารับงาน