อาทิตย์ที่แล้วที่ผมเขียนเรื่องเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบกระต่ายกับเต่า มีแฟนคอลัมน์ถามเรื่องความเสี่ยงของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกคราวนี้ เพราะดูตลาดการเงินจะเริ่มห่วงภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น และความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเร็วกว่าควร อยากฟังความเห็นเรื่องนี้ วันนี้ก็เลยจะเขียนเรื่องนี้ให้แฟนคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ทราบ
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกคงจะเริ่มในประเทศกลุ่มแรกเป็นสำคัญ คือ กลุ่มกระต่ายที่ได้ประโยชน์จากการฉีดวัคซีนก่อนและฉีดให้ประชากรได้ในจำนวนที่มาก ส่วนปัจจัยขับเคลื่อนการฟื้นตัวคงจะมี 4 ปัจจัย คือ 1.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งในกรณีของสหรัฐคือวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่กว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ 2.นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมาก 3.เงินออมที่สะสมไว้ที่รอการใช้จ่ายที่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมอาจมีมากถึง 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ และ 4.เงินลงทุนต่างประเทศที่จะไหลกลับสหรัฐและประเทศอุตสาหกรรมจากประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ฟื้นตัวช้า หรือมีแนวโน้มเศรษฐกิจไม่ดีเท่าประเทศอุตสาหกรรม
นี่คือปัจจัยที่จะขับเคลื่อนการฟื้นตัว ซึ่งแต่ละปัจจัยจะให้ผลต่อการฟื้นตัวแตกต่างกัน เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ที่จะเป็นเงินโอนให้พลเมืองสหรัฐเป็นหลัก ทำให้คนกลุ่มล่างที่เดือดร้อนจะมีรายได้ที่จะใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้ตอนนี้ลำบากและมีหนี้ที่ค้างชำระอยู่มากจึงมีการประเมินว่า 1 ใน 3 ของเงินส่วนนี้คงจะเป็นเงินที่ถูกนำไปใช้จ่ายจริง ที่เหลือ 2 ใน 3 คงจะเป็นเงินที่นำไปชำระหนี้ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อสถาบันการเงิน
สำหรับเงินออมที่สะสมไว้รอการใช้จ่าย มีการวิเคราะห์ว่าเงินออมส่วนใหญ่อยู่ในมือคนชั้นกลางและผู้ที่มีรายได้ช่วงโควิดระบาดและยังไม่ได้ใช้จ่าย ซึ่งคนกลุ่มนี้มีอัตราส่วนของการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคต่อรายได้ค่อนข้างต่ำ ดังนั้น การใช้จ่ายในลักษณะ pent-up demand หรือที่รอใช้จ่ายคงมีแน่นอน แต่คงไม่ใช่ทั้งหมดของเงินที่ออมไว้ ส่วนที่ไม่ใช้จ่ายคงเก็บออมต่อไปในรูปการลงทุนในตลาดการเงิน
ท้ายสุด เงินทุนไหลเข้าจากประเทศตลาดเกิดใหม่ก็จะเป็นเม็ดเงินที่จะถูกนำไปลงทุนในตลาดการเงินเป็นสำคัญ เพราะบริหารโดยนักลงทุนสถาบัน ไม่มีผลต่อการบริโภคโดยตรง แต่จะมีผลทางอ้อมจากความมั่งคั่งของนักลงทุนที่จะเพิ่มมากขึ้น