และเปิดเผยว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้โตโยต้าลดค่าใช้จ่ายในช่วงวิกฤตโควิดได้เป็นอย่างมากคือการผลิตแบบลีน และมีแผนจะลดค่าใช้จ่ายในไตรมาสที่ 1 ปี 2021 นี้ลงอีก 8.5 หมื่นล้านเยนอีกด้วย
Mr. Kenta Kon (ซ้าย) Mr. Jun Nagata (ขวา) เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโตโยต้า
(ภาพจากงานแถลงข่าวออนไลน์ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2021)
โตโยต้ารายงานว่า ในปี 2020 บริษัทมียอดผลิตยานยนต์รวม 7,909,488 คัน ลดลง 12.6% จากปีก่อนหน้า ซึ่งมียอดผลิตจากจีนจำนวน 1,537,670 คัน เพิ่มขึ้น 9.5% ซึ่งมีการฟิ้นตัวจากโควิดอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ตลาดจีนยังมีสร้างสถิติยอดขายใหม่ที่จำนวน 1,797,487 คัน เพิ่มขึ้น 10.9% อีกด้วย โดยหนึ่งในซัพพลายเออร์รายใหญ่ของโตโยต้าเปิดเผยว่า ยอดผลิตยานยนต์ของโตโยต้าเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 3 และฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงท้ายปี
นโยบายของสหรัฐฯ ในสมัยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ นำมาซึ่งการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่ง Mr. Kenta Kon เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโตโยต้า คาดการณ์ว่า ปัญหาการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์จะไม่ยาวต่อเนื่องไปถึงช่วงไตรมาสที่ 3 อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์
โตโยต้าเปิดเผยว่า ทางบริษัทได้มีการวาง BCP เพื่อรับมือปัญหาการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์เอาไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ ปี 2011 โดยร่วมมือกับซัพพลายเออร์วางแผนและประสานงานกันอย่างละเอียด ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การขาดแคลนชิปเพียงเล็กน้อย และมีสต๊อกเซมิคอนดักเตอร์สำหรับการผลิตยานยนต์อีกอย่างน้อย 4 เดือน
Yasushi Matsui CFO บริษัท Denso แสดงความเห็นว่า โตโยต้าได้ร่วมบริหารสต๊อกเซมิคอนดักเตอร์กับซัพพลายเออร์เป็นอย่างดี ทำให้ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงปัญหาการขาดแคลนชิป
ในอีกด้านหนึ่ง ซัพพลายเออร์รายใหญ่อีกบริษัทรายงานว่าโตโยต้าอยู่ระหว่างการเจรจาลดกำลังการผลิตยานยนต์ 10,000 คันเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่โตโยต้ายังไม่เปิดเผยรายละเอียดแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม โตโยต้ายอมรับว่ายังจำเป็นต้องเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากปัจจุบันกำลังการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ไม่สามารถตอบรับความต้องการทั่วโลกได้อย่างทั่วถึง หากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็อาจกลายเป็นปัญหาได้ พร้อมเผยว่า หากกำลังการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ฟื้นตัวล่าช้ากว่าคาดการณ์ ก็อาจจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตยานยนต์บางรุ่นลงจากเป้าที่วางไว้
นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้ย้ำว่าในอนาคต รถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยียุคใหม่อย่างระบบขับขี่อัตโนมัติจะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์มีความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น การขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ผลิตยานยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จะหันมาพิจารณากลยุทธ์ของตนอีกครั้ง