ทั้งนี้ จากเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของสเตนเลสรีดเย็นในประเทศให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะใช้ความได้เปรียบจากการเป็นผู้ผลิตสเตนเลสรีดเย็นรายเดียวในประเทศที่มีเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ในช่วงปี 2561-2562 บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนไว้ 16.8 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 504 ล้านบาท ใช้ลงทุนปรับปรุงเครื่องจักร ลดโอกาสในการสูญเสียทางการผลิตและแก้ไขปัญหาการผลิตที่เป็นคอขวด เพื่อขยายกำลังการผลิตในส่วนที่ปรับปรุงเพิ่มเป็น 84,000 ตัน/ปี จากปัจจุบันอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 300,000 ตัน/ปี คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จและเดินเครื่องได้ภายในปี 2564 นี้ ส่งผลให้การบริหารจัดการสินค้า (inventory) ดีขึ้นตามไปด้วย
"งบดังกล่าว ตั้งงบไว้ตั้งแต่ปี 2561-62 โดยการติดตั้งเครื่องจักรใหม่นี้ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน เนื่องจากต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศ และประกอบกับในปีที่ผ่านมามีปัญหาการระบาดของโควิด-19 ทำให้การติดตั้งล่าช้าออกไป เนื่องจากต้องรอวิศวกรจากประเทศจีนที่ติดปัญหาด้านการเดินทาง แต่บริษัทพยายามจะเร่งดำเนินการให้เสร็จภายในปีนี้ ปัจจุบันอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 300,000 ตัน/ปี ซึ่งเต็มกำลังการผลิตเกิน 100% แล้ว" นายยองชอล กล่าว
สำหรับผลประกอบการในงวดปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายเหล็กสเตนเลสรีดเย็นและการให้บริการ จำนวน 13,177.5 ล้านบาท (225,827 ตัน ณ ราคาขายถัวเฉลี่ย 58,352.2 บาทต่อตัน) ซึ่งต่ำกว่ายอดขายของปี 2562 ที่มีจำนวน14,404.5 ล้านบาท (227,320 ตัน ณ ราคาขายถัวเฉลี่ย 63,366.7 บาทต่อตัน) เท่ากับ 1,227.0 ล้านบาทหรือลดลง 8.5 %
นอกจากนี้ ในปี 2563 บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิ จำนวน 17.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนลดลง 19.3 ล้านบาท จากปี 2562 ขาดทุนสุทธิ 36.7 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายที่ลดลงซึ่งผลกระทบหลักคือปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19
อนึ่ง ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจจำหน่ายสเตนเลสรีดเย็นทั้งชนิดม้วน (Coils) และชนิดแผ่น (Sheet) ประมาณ 70% ของการขายเป็นการสนับสนุนตลาดภายในประเทศ โดยผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย ไปยังอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้งานสเตนเลสโดยตรง และธุรกิจขนาดย่อมทั่วไป ขณะที่สเตนเลสอีก 30% ส่งออกไปยังประเทศต่างๆ โดยการจัดจำหน่ายผ่านเครือข่ายของบริษัท โพสโค อินเตอร์เนชั่นแนล (Posco International Corp.) รวมทั้งการจำหน่ายโดยตรงจากโพสโค-ไทยน๊อคซ์