สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ชง5มาตรการเร่งด่วนช่วยเอสเอ็มอี
20/04/2020
ข่าวเศรษฐกิจ
คณะที่ปรึกษา SMEs ชง 5 มาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการเร่งด่วน หลังได้รับผลกระทบวิกฤติโควิด



นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะทำงานกลุ่มมาตรการเพื่อธุรกิจ SMEs  กล่าวภายหลังการเข้าร่วมการประชุมคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2563 โดยมี ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วยหัวหน้าคณะทำงาน ,นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย, นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ และผู้แทนจากสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย นั้นได้มีการเสนอมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ SMEs เพื่อเสนอต่อภาครัฐ 5 ด้าน คือ 1.ด้านประกันสังคม/กองทุน/แรงงาน 2.ด้านภาษี 3.ด้านสาธารณูปโภค/ที่ดิน 4. ด้านการเงิน และ5.ด้านอื่นๆ นอกจากนี้ยังได้รวบรวมข้อเสนอเพื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการหลังวิกฤติโควิด-19

โดยมาตรการด้านประกันสังคม/กองทุน/แรงงาน  ประกอบด้วย1.ลดเงินสมทบประกันสังคมนายจ้างจาก 4% เหลือ 1% ระยะเวลา 180 วัน  2.บริษัทนำค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้างแรงงานในช่วงโควิด หักภาษีได้ 3 เท่า ระยะเวลา 3 เดือน โดยขอให้เทียบกับเดือนมี.ค. 63 (จากเดิมที่สรรพากรกำหนดเดือนธ.ค.62)

3.กรณีเรื่องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ยังคงรักษาสถานภาพไว้เป็นการชั่วคราวแม้ว่านายจ้างหรือลูกจ้างจะหยุดส่ง หรือ จ่ายสมทบเป็นการชั่วคราว 4.อนุญาตให้ปรับการจ้างงานเป็นรายชั่วโมงได้ ในอัตรา 40–41 บาท/ชม. โดยจ้างขั้นต่ำ 4-8 ชม.  5.ผ่อนผันการต่อใบอนุญาตแรงงานต่างชาติ (Work Permit) รวมถึงแรงงานต่างด้าว ไป 6 เดือน 6.ช่วยเหลือแรงงานที่เงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท โดยขอให้รัฐจ่าย 50% บริษัทจ่าย 25% สำหรับบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากโควิดและยังมีการผลิตอยู่บางส่วน และ7.ให้รัฐช่วยจ่ายเงินชดเชย กรณีเลิกจ้างพนักงาน หากมีความจำเป็นหรือได้รับผลกระทบ ระยะเวลา 3 เดือน



ส่วนมาตรการด้านภาษี   ประกอบด้วย 1.ให้ภาคเอกชนหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า กรณีใช้งบประมาณเพื่อป้องกัน COVID-19  2.ขยายเพดานค่าลดหย่อนภาษีการกุศลของนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ในปี 2563 โดยไม่จำกัดเพดาน  3.ให้ภาคเอกชน ผู้ให้เช่าสถานที่ นำส่วนลดค่าเช่าและค่าบริการที่ให้กับ SMEs มาลดหย่อนภาษีได้ 3  เท่า  4.ปรับอัตราภาษี หัก ณ ที่จ่าย ทุกประเภทเป็นอัตราเดียว คือ 1% เฉพาะปี 63  5.ให้กรมสรรพากรยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่ SME 2 ปีทุกธุรกิจ (ปีภาษี 63-64) โดยจะต้องเข้าระบบ E-Filling  6.ให้ขยายระยะเวลาการใช้ “ขาดทุนสุทธิที่ปรับปรุงตามประมวลรัษฎากร จากยกมาไม่เกิน 5 รอบ เป็น 7 รอบ”  7.ให้ภาคเอกชนหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า กรณีใช้ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและสัมมนา และ8ให้กรมสรรพากรเร่งรัดการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่วนที่ชำระเกิน ภายใน 60 วัน นับจากวันที่ยื่นแบบ

ขณะที่มาตรการด้านสาธารณูปโภค/ที่ดิน  ประกอบด้วย 1.ขอเลื่อนการจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ ออกไป 4 เดือน2.ปรับลดค่าไฟฟ้าลง 5% ทั่วประเทศและขอให้ค่า FT สะท้อนราคาน้ำมันที่ลดลง  3.ลดค่าจดจำนองและค่าโอนที่ดินเหลือ 0.01% เฉพาะปี 63  4.ขอให้คิดค่าใช้กระแสไฟฟ้าในแต่ละเดือนของธุรกิจจากการใช้กระแสไฟฟ้าจริง โดยยกเลิกการคิดจากเกณฑ์การใช้กระแสไฟฟ้าขั้นต่ำตามระบบ Demand Charge จนถึงสิ้นปี 2563  5.ขอให้พิจารณาคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีที่ใช้มิเตอร์ขนาดไม่เกิน 50 แอมป์ด้วย เพื่อจะได้นำมาเป็นเงินหมุนเวียนในธุรกิจช่วงวิกฤติ  6.ชะลอการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไป 1 ปี

ส่วนมาตรการด้านการเงิน  1.สินเชื่อที่รัฐให้เพิ่มสภาพคล่อง ขอให้ บสย. ค้ำประกันวงเงินกู้เพิ่มเป็น 80%2.ขอให้ธนาคารพานิชย์และรัฐ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เดิม ให้ลดเพิ่มจาก 0.4% เป็น 1% 3.ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ยกเว้นค่าเบี้ยประกันทุกประเภทในช่วงที่ธุรกิจปิดให้บริการ  4.ขอให้ภาครัฐร่วมลงทุนกับเอกชนในการจัดตั้ง Private Equity Trust ภายใต้กำกับของ กลต. โดยเข้าไปถือหุ้นในธุรกิจโรงแรมที่มีปัญหาเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ 5.สถาบันการเงินปรับลดระยะเวลาพิจารณาประวัติการผิดนัดชำระหนี้ในเครดิตบูโรจาก 3 ปี เหลือ 1 ปี

สำหรับมาตรการอื่นๆ  เช่น 1.ให้รัฐจัดสรรงบประมาณในการจ้างงาน ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศ (Made-in-Thailand) และให้เพิ่มแต้มต่อสำหรับธุรกิจ SMEs  2.เร่งการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เช่น ขอให้ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายเงินให้กับผู้รับเหมาที่ได้ดาเนินการตามสัญญาแล้ว เพื่อให้มีเงินมาหมุนเวียนและเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ 3.เลื่อนการบังคับใช้ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล(PDPA) 4.ขอขยายสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐออกไป 4 เดือน 5.สนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานประเมินความเสี่ยงตัวเองโดยใช้ Application เช่น หมอชนะ  6.สนับสนุนการตั้งกองทุนนวัตกรรม โดยผู้บริจาคหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ 3 เท่า  7.หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจติดต่อกับภาคเอกชน สามารถให้บริการทางออนไลน์และขอให้ห้างสรรพสินค้า บริษัทใหญ่ รวมถึงบริษัทในเครือ ไม่เลื่อนการชำระเงินให้กับซัพพลายเออร์ โดยเฉพาะ SMEs
ที่มาของข่าว: ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.