สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ธุรกิจ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ เติบโตจากฐานราก เข้มแข็งจากภายใน ด้วยจิตใจเอื้ออาทร
31/05/2018
ข่าวเศรษฐกิจ
มูลนิธิมั่นพัฒนา ร่วมกับสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า จัดงาน Thailand SDGs Forum 1/2018 Localizing the SDGs: Thailand’s Sustainable Business Guide ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลเมื่อวันที่18 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา เพื่อขับเคลื่อน และขยายผลเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สอดคล้องกับบริบทสังคมไทย ภายใต้กรอบคิด “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” พร้อมทั้งเผยแพร่แนวปฏิบัติทางธุรกิจสู่ความยั่งยืนจากกรณีศึกษาบริษัทชั้นนำ ตลอดจนการจัดเวิร์กชอปการประเมินการดำเนินธุรกิจด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการนำเรื่อง SDGs ไปประยุกต์ใช้ในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ

??˜?????????????ˆ ??˜?????????????????????ˆ??ž????????ž????????‡??™ ???????????š??‚?????ˆ????????????™???????? ?????‚??‰???????‚??‡??‡??ˆ??????? ????????ƒ??™ ?????‰???????ˆ????????ƒ??ˆ???????????‰???????????????

งานครั้งนี้ถือเป็นการก้าวสู่ปีที่ 3 ของเวที Thailand SDGs Forum ซึ่งเริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่ปี 2559 โดยในเวทีเสวนาได้รับเกียรติจาก รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการมูลนิธิมั่นพัฒนา ตัวแทนจากภาครัฐ และภาคเอกชนจำนวนมาก

“ฐานรากเข้มแข็ง”หัวใจของการพัฒนาธุรกิจให้ยั่งยืน

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “SEP for SDGs: Localizing the SDGs in Thailand Business” ว่า ตลอดระยะเวลา 50ปีที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จในการยกระดับรายได้ของประชาชนพอสมควร แต่หากมองย้อนกลับไปจริงๆ แล้ว กลับพบว่าเรายังไม่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงก็เป็นได้ เนื่องจากชนบทไทยที่เคยเข้มแข็งกลับอ่อนแอลงประชาชนระดับฐานรากยังไม่ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงอีกทั้งยังเกิดปัญหาต่างๆหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ย่ำแย่ลง คุณภาพชีวิตของคนในต่างจังหวัดที่ถดถอยลง ประชาชนยังคงเป็นหนี้สิน สูญเสียที่ดินทำกิน ฯลฯ การพัฒนาดังกล่าวที่พยายามจะสร้างความเท่าเทียมกันแต่แท้จริงแล้วกลับยิ่งสร้างความไม่เท่าเทียมให้เกิดขึ้นภาคธุรกิจที่ดูเติบโตเหมือนจะเข้มแข็ง แต่ความเป็นจริงแล้วอ่อนแอ บางครั้งนำมาซึ่งความแตกแยกในสังคม 

ดังนั้นการที่จะพัฒนาประเทศเพื่อให้เกิดความสำเร็จอย่างแท้จริง(True Success of Economic Development ) ในมุมมองของดร.กอบศักดิ์ เห็นว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรจะเป็นทางออกใหม่ หรือเป็นโมเดลของการพัฒนาประเทศที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง  โดยเสนอการสร้างความเข้มแข็งใน 2เรื่องสำคัญ กล่าวคือ การสร้างความเข้มแข็งจากฐานรากเพื่อแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม และการสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้แก่ภาคธุรกิจไทย

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า ในการสร้างความเข้มแข็งจากฐานรากเพื่อแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมนั้น รัฐบาลมีความตั้งใจเน้นการสร้างความเข้มแข็งควบคู่ไปกับการพัฒนาแบบ Strength from the Bottom ไปพร้อมๆ กัน เพื่อเป็นโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เช่นการส่งเสริมให้มีธนาคารรายย่อยเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงแหล่งทุนได้ โดยรัฐบาลกำลังพยายามดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวบ้านสามารถมีช่องทางในการดำเนินธุรกิจได้ ด้วยการออกพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถดำเนินการกิจการพาณิชย์ได้ด้วยทุนที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้

นอกจากนี้ ยังมีพระราชบัญญัติวิสาหกิจชุมชนที่ผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้วเพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถดำเนินธุรกิจด้วยการทำธุรกรรมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับป่าไม้และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีสิทธิใช้ประโยชน์จากป่าและอำนวยความสะดวกให้มีป่าชุมชนได้

“นี่คือสิ่งที่เราจะทำเพื่อความเข้มแข็งจากฐานรากจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง และจะกลายเป็น Strength from Bottom ที่จะระเบิดจากพี่น้องประชาชน จากทุกคน ทุกตำบลทุกหมู่บ้านให้เขาเข้มแข็ง และการพัฒนาอย่างยั่งยืนก็จะเกิดได้อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องพึ่งพาธุรกิจขนาดใหญ่และหวังว่าจะส่งไปถึงเขาข้างล่าง ถ้าทำได้จะสอดรับกับที่พระองค์ท่านบอกว่าการพัฒนาต้องทำตามลำดับขั้น คือสร้างความเข้มแข็งให้พี่น้องประชาชนเป็นพื้นฐานก่อน แล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยก้าวระดับขั้นต่อๆ ไป ซึ่งเศรษฐกิจพอเพียงท่านบอกว่าเป็นพื้นฐาน พี่น้องประชาชนครอบครัวดูแลฐานะของตัวเอง ทำบัญชีครัวเรือน ดูแลรายได้ของครัวเรือนให้มีความเข้มแข็ง คิดว่าเราทำถึงระดับหนึ่งแล้ว”

ส่วนด้านการสร้างความเข้มแข็งที่แท้จริงให้แก่ภาคธุรกิจไทยนั้น ดร.กอบศักดิ์ บอกว่า  การที่ภาคธุรกิจไทยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540เป็นเพราะการลงทุนในธุรกิจเกินตัว กล้าเสี่ยงเกินไป การขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจที่แท้จริง ฉะนั้นเพื่อให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง ภาคธุรกิจจึงควรปรับตัวและมุ่งมั่นดำเนินการพัฒนาในเรื่องฐานรากของตนเองให้เข้มแข็งก่อน โดยให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราถนัดและเชี่ยวชาญที่สุด (Core Strength) ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามีความรู้และความเข้าใจที่แท้จริง จะทำให้เรามีความสามารถในการปรับตัวไปกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ โดยไม่จำเป็นต้องเน้นที่การเติบโตอย่างรวดเร็วหรือเติบโตให้เป็นธุรกิจขนาดใหญ่เสมอไป เพราะว่าความรวดเร็วและขนาดความยิ่งใหญ่ของธุรกิจไม่ใช่คำตอบของธุรกิจที่ยั่งยืน

“เราอยากให้ธุรกิจไทยในอนาคตเป็นธุรกิจพันธุ์ใหม่ที่สวยจากภายในได้อย่างไร นั่นคือคำตอบ คือหัวใจ เพราะทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืนภายใต้ SDGs และเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปถึงเรื่องของขีดความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง คือความเข้มแข็งที่แท้จริงที่เราอยู่ได้อย่างแท้จริงนอกจากนั้นโจทย์วันนี้คือว่าเราอยากจะสร้างธุรกิจประเภทใหม่ที่มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ธุรกิจดังกล่าวยิ่งโตไปยิ่งต้องกลับไปตอบโจทย์ว่าจะสร้างฐานที่เข้มแข็งที่กว้างพอรองรับธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้อย่างไร”

ภาคธุรกิจจะต้องรู้จักการบริหารความเสี่ยงโดยเฉพาะเรื่องของการเงิน เป็นสิ่งที่ธุรกิจที่จะยั่งยืนได้ต้องบริหารความเสี่ยงให้ดี ซึ่งนี่คือหลักการความพอประมาณ มีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน ของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริงเศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงเรื่องของการบริหารความเสี่ยงที่ทุกระดับชั้นต้องทำเรื่องนี้ให้ได้ เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันภัยกับสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น นอกจากนั้นยังมีเรื่องของบุคลากรในองค์กรที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะคนเหล่านี้จะเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้ฝ่าฟันในการดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับองค์กร การบริหารจัดการตลอดจนเรื่องธรรมาภิบาลขององค์กร หรือความสัมพันธ์กับชุมชน รวมถึงผลกระทบภาพรวมต่อประเทศด้วย โดยธุรกิจต้องไม่สร้างความแตกแยก และต้องตระหนักว่าการทำธุรกิจไม่ใช่การกอบโกยเอาจากทรัพยากรหรือชุมชนเพียงอย่างเดียว

“ทั้งหมดคือสิ่งที่เศรษฐกิจพอเพียงพูดถึง รวมถึงหลักการความรู้คู่คุณธรรมที่ทำให้เรามีธรรมาภิบาลที่ดี บริหารจัดการที่ดี อยู่บนพื้นฐานของความรู้อย่างแท้จริง และที่สำคัญเงินไม่ใช่ทั้งหมด ความรวยไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่ความยั่งยืนคือคำตอบ”

สร้างความร่วมมือ ส่งเสริมธุรกิจ ด้วยจิตที่เอื้ออาทร

“ถ้าเราสร้างธุรกิจพันธุ์ใหม่ที่มีความเข้มแข็งจากภายใน เราก็ต้องสร้างธุรกิจที่มีความเอื้ออาทรให้กับพี่น้องประชาชน”

แน่นอนว่าธุรกิจจะเติบโตไม่ได้ หากเรามุ่งหวังเพียงความสำเร็จและผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงคนรอบข้าง หรือสังคมที่เราอาศัยอยู่ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจยุคใหม่จึงต้องหันกลับมาคำนึงถึงเรื่องของความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ ดังนั้นการที่จะพัฒนาธุรกิจให้สอดรับกับเรื่องของ SDGs และก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริงได้นั้น เราต้องใส่วิญญาณของความเอื้ออาทรในธุรกิจของเราด้วยเช่นกัน เพราะภาคธุรกิจเองมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจ ดังนั้นการจะพัฒนาให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชน เกิดเท่าเทียม และเติบโตไปพร้อมๆ กันของทุกภาคส่วน ภาคธุรกิจเองจำเป็นต้องมีบทบาทในการเข้ามามีส่วนร่วมต่อเรื่องดังกล่าว

“ทั้งหมดนี้คือเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืนและนำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาเป็นหัวใจสำคัญ ท้ายที่สุดนี้ผมคิดว่าถ้าจะคิดเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน ผมอยากจะให้ทุกคนช่วยกันคิดว่าการพัฒนาที่แท้จริงคืออะไร อะไรจะเป็นโมเดลใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งสำหรับผม 2 อย่างที่กล่าวมาแล้วคือการสร้างความเข้มแข็งจากฐานรากและสร้างธุรกิจที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง มีความเอื้ออาทรและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังผมว่านี่คือสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย แล้วการพัฒนาที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงก็หมายถึงว่าทุกภาคส่วนต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งผมคิดว่าทั้งหมดนี้ถ้าเราทำได้ 20 ปีข้างหลังประเทศไทยจะเป็นต้นแบบของการพัฒนาของโลก และเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านอย่างแท้จริง”
ที่มาของข่าว: กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.