นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในไตรมาสแรกของปี 2561 ขยายตัว4.8% เร่งขึ้นจาก 4% ในไตรมาส 4 ปี 2560 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวเร่งขึ้นของการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.6% เร่งขึ้นจาก 3.4% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการปรับตัวดีขึ้นและกระจายตัวมากขึ้นของฐานรายได้ในระบบเศรษฐกิจ มาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาล สอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ที่ 66.7 ระดับสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส การใช้จ่ายสินค้าคงทนขยายตัว 9.4% สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์นั่งที่ขยายตัว 14.8 %
ด้านการลงทุนเพิ่มขึ้น 3.4% ปรับดีขึ้นจากการขยายตัว 0.3%ในไตรมาสก่อนหน้า ปรับดีขึ้นทั้งการลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัว 3.1% ส่วนการลงทุนภาครัฐกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส อยู่ที่ 4% โดยการลงทุนรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น 11.5%
ขณะเดียวกันมูลค่าการส่งออกสินค้า และบริการขยายตัว9.9% มีมูลค่า 61,788 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 55,153 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 16.3%และการปรับตัวดีขึ้นของการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัว 7.2% ส่วนการท่องเที่ยว มีจำนวน 10.6 ล้านคนขยายตัว 15.4% รายได้จากการท่องเที่ยว 840,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.8% สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และเป็นแหล่งต้นทางของนักท่องเที่ยว
นายวิชญายุทธกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกที่ขยายตัวดีกว่าคาด และมีการปรับเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวเป็น 2.23 ล้านล้านบาท จากเดิม 2.15 ล้านล้านบาท สศช. จึงทำการปรับคาดการณ์จีดีพีปีนี้ขยายตัว 4.2-4.7% ค่ากลาง 4.5% จากเดิมคาดจะขยายตัว 4.1% โดยมีแรงสนับสนุนจากการส่งออกขยายตัว 8.9% จากเดิมโต 6.8% ขณะที่มีแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ การใช้จ่ายภาครัฐบาล คาดว่าเบิกจ่ายทั้งปีไม่ต่ำกว่า 92% และยังมีการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มอีก 150,000 ล้านบาท การฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ซึ่งมีมูลค่า 165,400 ล้านบาทรวมทั้งการปรับตัวดีขึ้นของรายได้เกษตรกรตามการขยายตัวของราคาสินค้าเกษตรสำคัญๆ ยกเว้นยางพารา และปาล์มน้ำมัน ที่ราคายังลดลง
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาคือราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสศช.ปรับสมมุติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเป็น 65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จาก 60ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ก็น่าจะเป็นผลดีทำให้ราคาสินค้าเกษตรปรับขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะพืชพลังงาน เช่น ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ทำให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น ส่วนผลกระทบราคาน้ำมันต่อเงินเฟ้อ คาดว่าจะกระทบต่อค่าครองชีพไม่มากนัก เงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ 0.7-1.7 %
นอกจากนี้ต้องจับตาความเสี่ยงจากการดำเนิน มาตรการทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และความเสี่ยงจากการเคลื่อนย้ายเงินทุน และอัตราแลกเปลี่ยน จากการขึ้นดอกเบี้ยของประเทศหลัก ทำให้ปรับประมาณการเงินบาทปีนี้แข็งค่าขึ้นอยู่ที่ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จาก 31.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นจะสร้างความมั่นใจกับเอกชนทั้งในและต่างประเทศเริ่มตัดสินใจลงทุนตามภาครัฐเพราะการสร้างรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง จะส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้น เมื่อภาคอสังหาฯฟื้นตัว อุตสาหกรรมอื่นก็จะดีขึ้นตามไปด้วยเพราะอสังหาฯเชื่อมโยงกับทุกสาขา ขอเพียงแต่ให้ช่วยกันรักษาความสงบบ้านเมืองและร่วมกันผลักดันการปฏิรูป