เรื่องที่รัฐบาลอนุมัติโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน มิใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะรัฐบาลในอดีตรอบสามทศวรรษมา ก็มีโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับรากหญ้าตามหมู่บ้านมาตลอด ที่ต่างกันก็คือชื่อโครงการ และระเบียบวิธีการในรายละเอียด
การที่รัฐบาลชุดนี้ผลักดันโครงการนี้ ก้เป็นเรื่องดี เพียงแต่ว่า จะต้องปรับปรุงและกำกับดูแลควบคุมให้มีประสิทธิภาพตามที่โครงการเขียนไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็น “โครงการแบบให้เปล่า” แก่ “กลุ่มแกนนำ” ที่บริหารควบคุมหมู่บ้านอยู่
ที่เราเรียกว่า “โครงการแบบให้เปล่า” เพราะ ในทางปฏิบัติมันเหมือนกับผันเงินลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจองค์รวม กระจายผลประโยชน์ให้กับกลุ่มนำของหมู่บ้านที่สนับสนุนรัฐบาลผู้กุมอำนาจรัฐในขณะนั้น เรื่องที่งบประมาณซึ่งกระจายลงไปให้ก่อผลรายได้ให้ชวบ้านในหมู่บ้านย่างมีประสิทธิภาพกลายเป็นเรื่องรอง แม้โครงการขาดทุนล้มเหลว ก็เพียงทำรายงานชี้แจงเหตุผล แล้วก็จบกัน
จุดที่มีประชาชนวพากย์จุดอ่อนของการดำเนินโครงการเมื่อปี 2559 ห็ได้แก่เรื่องที่ รัฐบาลให้งบประมาณมา แต่รัฐบาลไม่ได้ให้อำนาจในการตรวจสอบเรื่องงบประมาณมาด้วย หากประชาชนร้องเรียนผู้นำของตน เรื่องก็มักจะเงียบหายไป และการจัดฉาก ตกแต่งรายละเอียดต่าง ๆ ที่ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้แนะนำให้ผู้นำหลบหลีกเพื่อได้เงินเข้ากระเป๋า ประชาชนหวังให้ข้าราชการรับผิดชอบติดตามการใช้เงินงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช้ปล่อยให้เป็นเพียงความต้องการของผู้นำหมู่บ้าน/ชุมชน เพียงฝ่ายเดียว ขุดอ่อนอีกประการหหนึ่งคือ ในการเขียนโครงการประชารัฐ กองทุนหมู่บ้าน งบประมาณ 200,000 บาท จะเป็นการต่อยอดโครงการเดิม หรือทำโครงการใหม่ก็ได้
แต่สำหรับในปีนี้ รัฐบาลนี้ก็เคยทำโครงการทำนองนี้มาแล้วเมื่อ ปี 2559 จึงหวังว่าโครงการใหม่นี้จะมีประสิทธิภาพดีขึ้น
ครม. ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์และขั้นตอนในคู่มือ การดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ตาม โครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแล้ว โดยระยะเวลาดำเนินการ 120 วัน (เม.ย.-ก.ค.61) มีเป้าหมาย 82,371 หมู่บ้าน/ชุมชน โดยสนับสนุนงบประมาณ หมู่บ้าน/ชุมชนละไม่เกิน 200,000 บาท เป็นเงิน 16,474.20 ล้านบาท โดยมีจุดสำคัญดังนี้
จำนวนโครงการในแต่ละหมู่บ้านไม่เกิน 2 โครงการ ให้ดำเนินการเองหมู่บ้าน ชุมชนละไม่เกิน 200,000 บาท ขณะที่ลักษณะโครงการจะต้องเป็นโครงการที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงจะต้องเป็นโครงการที่น้อมนำศาสตร์พระราชา และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ และต้องเป็นโครงการที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชนในหมู่บ้าน ชุมชนด้วย
การจ้างแรงงาน จะต้องจ้างแรงงานในวงเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของงบประมาณและจะต้องดำเนินโครงการให้ให้เสร็จภายในวันที่ 31 ก.ค.2561โดยห้ามนำงบประมาณไปต่อยอดเงินกองทุนหมู่บ้าน ชุมชน และห้ามไปดำเนินการแจกจ่ายเป็นเงิน หรือสิ่งของให้กับประชาชนในครัวเรือนกู้ยืม