นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ขยายตัวได้ 4% จากแรงส่งของภาคการส่งออกที่ขยายตัวที่ 11.6% ซึ่งขยายตัวมากขึ้นทั้งจำนวนสินค้า และตลาดส่งออก สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวดีอยู่ที่ 3.5% แต่ยังได้รับแรงกดดันจากราคาสินค้าเกษตรและการเบิกจ่ายการลงทุนก่อสร้างที่ล่าช้า
“ภาคเกษตรได้รับผลกระทบจากภาวะฝนตกชุก อุทกภัย และสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยในหลายพื้นที่ โดยผลผลิตพืชเกษตรที่ลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกนาปี มันสำปะหลัง อีกทั้งราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดมีราคาที่ลดลง ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และสุกร ส่วนการลงทุนของภาครัฐที่ปรับตัวลดลง 6% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่และการปรับตัวด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่อาจยังไม่คุ้นเคย แต่คาดว่าปีนี้การลงทุนของภาครัฐน่าจะดีขึ้นแน่นอน” นายปรเมธีกล่าว
จากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 จะช่วยผลักดันจีดีพีไทยทั้งปี 2560 ขยายตัวได้ที่ 3.9% ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัว 3.3% ในปี 2559 ขณะที่การส่งออกขยายตัวได้ 9.7% นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 ปี แม้อัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทเทียบกับเหรียญสหรัฐจะแข็งค่าขึ้นแต่การส่งออกยังขยายตัวได้ โดยค่าเงินบาทมีอัตราเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 33.93 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2561 สศช.ยังคงการประมาณการไว้ในระดับเดิมว่าจะขยายตัว 4.1% หรืออยู่ในกรอบ 3.6-4.6% มีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเร่งขึ้นและสนับสนุนเศรษฐกิจในภาพรวมได้มากขึ้น แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายของภาครัฐบาลที่อยู่ในเกณฑ์ดี และการลงทุนของภาครัฐที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น รวมทั้งการขยายตัวเศรษฐกิจสำคัญๆ ต่อเนื่องจากปี 2560 ขณะที่การส่งออกยังคงเป็นกำลังหลักในการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อเนื่องโดยขยายตัว 6.8% มีแรงผลักดันจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก แม้จะมีปัจจัยกดดันจากแนวโน้มการแข็งค่าต่อเนื่องของเงินบาท แต่ขีดความสามารถในการส่งออกของภาคเอกชนยังสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ โดยสศช. มองว่าค่าเงินบาทในปี 2561 จะอยู่ในกรอบ 31.50-32.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่องในปีนี้
“การแข็งค่าของเงินบาทนั้นมองว่ายังไม่ส่งผลกระทบกับความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ แต่จะมีผลในด้านรายได้ที่เป็นเงินบาท จึงอยากให้ผู้ประกอบการระมัดระวังความผันผวนจากสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน แต่เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการดูแลเรื่องความผันผวนอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการและเศรษฐกิจของประเทศแน่นอน” นายปรเมธีกล่าว
ทั้งนี้การบริหารเศรษฐกิจในปี 2561 ภาครัฐให้ความสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ การยกระดับความสามารถในการแข่งขันการชักจูงนักลงทุนในสาขาเป้าหมายและสร้างความมั่นใจต่อเนื่องของโครงการและนโยบายพัฒนาที่สำคัญหลังเปลี่ยนผ่านสู่การเลือกตั้ง
นอกจากนี้ภาครัฐยังให้ความสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและการจัดทำแผนขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการดำเนินธุรกิจการเพิ่มขึ้นของค่าแรงและแข็งค่าของเงินบาทการเตรียมความพร้อมด้านกำลังแรงงานและคุณภาพแรงงานให้มีเพียงพอต่อการรองรับการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย