นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและเพื่อให้การพัฒนาโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) เป็นไปอย่างราบรื่นในปี 2561 นี้ กนอ.ได้เตรียมการพัฒนาพื้นที่สำหรับก่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ไว้ประมาณ 1,000 ไร่ พร้อมเตรียมแผนดำเนินการที่จะเชิญชวนให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาท่าเทียบเรือในช่วงกลางปี 2561 ภายใต้งบประมาณ 11,000 ล้านบาท
โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 2 ส่วนได้แก่ ส่วนพื้นที่ถมทะเลและสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งประกอบด้วยงานขุดลอกร่องน้ำเดินเรือและแอ่งกลับเรือ งานถมทะเล งานก่อสร้างเขื่อนหินกันทรายรอบพื้นที่งานก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นระบบสาธารณูปโภค และอุปกรณ์ควบคุมการเดินเรือ และส่วนการก่อสร้างท่าเทียบเรือบนพื้นที่ถมทะเลเพื่อรองรับการขนถ่ายสินค้า โดยแบ่งเป็น ท่าเทียบเรือสินค้าเหลว 2 ท่ามีพื้นที่ 200 ไร่ ความยาวหน้าท่า 814 เมตร ท่าเทียบเรือก๊าซ 3 ท่ามีพื้นที่ 200 ไร่ ความยาวหน้าท่า 1,415 เมตรท่าเทียบเรือบริการ รวมถึงคลังสินค้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติ 150 ไร่
นายวีรพงศ์กล่าวว่าความสนใจและความพร้อมของนักลงทุนขณะนี้ได้มีนักลงทุนและบางบริษัทเอกชนบางรายให้ความสนใจทั้งในส่วนของพื้นที่ถมทะเลและส่วนการก่อสร้างท่าเทียบเรือบนพื้นที่ถมทะเลการจัดสร้างพื้นที่จัดเก็บถังสารเคมี (Liquid Chemical Tank farm) และถังเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG Storage Tank) รวมทั้งพร้อมที่จะดำเนินกิจการบริหารจัดการท่าเรือ การก่อสร้างท่าเทียบเรือบนพื้นที่ถมทะเลเพื่อลงทุนโครงการท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่าย ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) บนพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั้งหมดอยู่ระหว่างการศึกษาและวิเคราะห์รายละเอียดและเงื่อนไขสัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชน และหากคณะกรรมการนโยบายพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเห็นชอบกับโครงการก็จะประกาศเชิญชวนให้เอกชนผู้สนใจยื่นข้อเสนอเพื่อร่วมลงทุนต่อไป
นอกจากนี้ กนอ.ยังได้กำหนดให้การพัฒนาท่าเรือฯ เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการขนส่งแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือ Green Logistics สอดรับกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของรัฐบาลโดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ ซึ่งกนอ.ได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมรวมถึงการศึกษาและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ(EHIA) ภายใต้การมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารและเสนอความคิดเห็นข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการ
ปัจจุบันท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดมีผู้ประกอบการจำนวน 12 ราย และมีจำนวนท่าเทียบเรือให้บริการ 32 ท่า ซึ่งตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตของปริมาณการขนถ่ายสินค้าผ่านท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 5.3% ต่อปี และในปี 2560 ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด มีปริมาณเรือเทียบท่ากว่า มากกว่า7,000 ลำ มีปริมาณสินค้าผ่านท่ารวมมากกว่า44,652,387 ตัน โดยแบ่งเป็นสัดส่วนสินค้าประเภท น้ำมันและก๊าซประมาณ 58% ถ่านหิน 17% เคมีภัณฑ์ 16% และอื่นๆ ประมาณ 9% มีมูลค่าสินค้าที่ขนถ่ายผ่านท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดรวมทั้งสิ้นกว่า 489 ล้านบาท ซึ่งท่าเรือฯมาบตาพุดยังคงเป็นท่าเรือและฐานการผลิตอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้