นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)เปิดเผยว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI)ประจำเดือนธันวาคม 2560 ขยายตัว 2.35% อยู่ที่ระดับ 109.88 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 107.36 โดยภาพรวมทั้งปีขยายตัวจากปีก่อน1.58% ซึ่งเป็นไปตามที่คาดไว้ และเป็นไปในทิศทางเดียวกับการส่งออกเดือนธันวาคมที่ผ่านมาขยายตัวถึง11% ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.53%
ทั้งนี้จากดัชนีเอ็มอีไอปี 2560ทั้งปีที่ขยายตัวได้ 1.58% ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรมปี 2560 ทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวได้ 2%เพิ่มขึ้นจากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 1.7% ส่วนปี 2561 ดัชนีเอ็มพีไอคาดขยายตัว 1.5-2.5% จีดีพีภาคอุตสาหกรรมคาดขยายตัว 2-3%
นายศิริรุจกล่าวถึงกรณีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อดัชนีเอ็มพีไอและอัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมมากนัก เพราะส่วนใหญ่มีการจ้างงานในอัตราที่สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่ประกาศอย่างเป็นทางการอยู่แล้วประกอบกับอุตสาหกรรมส่วนหนึ่งก็มีการปรับใช้เครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติมากขึ้น
สำหรับปี2561 ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกถ้าไม่มีอะไรผันผวน ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศต่างๆไม่รุนแรง เศรษฐกิจคู่ค้าปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมไทยปรับขึ้นดีขึ้นไปด้วย รวมทั้งยังต้องติดตามนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐ
นายศิริรุจกล่าวว่าอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเอ็มพีไอเดือนธันวาคม 2560 ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางขยายตัว 28.92% จากยางแผ่นเป็นหลักเนื่องจากปีนี้มีน้ำยางออกสู่ตลาดจำนวนมาก จากปีก่อนมีปัญหาน้ำท่วมบางพื้นที่ทำให้ไม่สามารถรีดยางได้ประกอบกับราคายางตกต่ำทำให้จีนเร่งนำเข้ายางแผ่นจากไทย
รถยนต์ขยายตัว13.53%จากรถปิกอัพและรถยนต์นั่งขนาดไม่เกิน 1800 cc. เป็นหลัก กำลังซื้อที่เริ่มมีมากขึ้นรวมถึงกำลังซื้อของลูกค้าในกลุ่มรถยนต์คันแรกที่ปลดล็อกแล้วและผู้ผลิตกระตุ้นตลาดด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ส่งผลให้ปริมาณจำหน่ายรถยนต์ในประเทศขยายตัว 28.55% ส่วนปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้น 12.12%
เครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ขยายตัว 24.15% จากเครื่องยนต์แก๊สโซลีนและเครื่องยนต์ดีเซลตามการผลิตรถยนต์ในประเทศที่ขยายตัวเพื่อรองรับงาน Motor Expo เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน-11 ธันวาคม 2560 โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณการจำหน่ายในประเทศที่ยังคงเป็นที่นิยมต่อเนื่องจากการปรับโฉมใหม่ และปริมาณการส่งออกจากลูกค้าในกลุ่มประเทศ AEC และประเทศออสเตรเลีย
น้ำมันพืชขยายตัว 57.19% จากน้ำมันปาล์มดิบเป็นหลักเนื่องจากปีนี้ผลผลิตปาล์มมีจำนวนมากกว่าปกติส่งผลให้การผลิตและสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นตามไปด้วยทำให้ต้องเร่งส่งออกน้ำมันปาล์มดิบโดยส่งไปที่อินเดียและจีนเป็นหลัก น้ำมันปิโตรเลียม ขยายตัว 10.63% จากน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 เป็นหลักตามความต้องการของตลาดที่มากขึ้นรองลงมาคือแนฟทาที่ผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อนำมาใช้ในในอุตสาหกรรมต่อเนื่องของโรงกลั่น