นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยว่า ในปี 2561 จะมี 5 โครงการที่จะพัฒนาในพื้นที่อีอีซี ซึ่งจะเป็นการลงทุนในรูปแบบร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือพีพีพี มีวงเงินรวม 6 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 1.สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 2.ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอูตะเภา 3.รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 4.ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และ 5.ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3
ทั้งนี้ได้กำหนดร่างขอบเขตงาน หรือทีโออาร์ทั้ง 5 โครงการ ให้เสร็จภายในไตรมาส 2 ของปี 2561 คาดว่าจะเปิดประมูลและเซ็นสัญญาเอกชนร่วมลงทุนได้ภายในปีหน้าซึ่งโครงการลงทุนเพื่อพัฒนาในเขตอีอีซีจะใช้เงินลงทุนจากเอกชน เพื่อลดภาระงบประมาณจากภาครัฐ
สำหรับโครงการอีอีซี รัฐบาลได้จัดเตรียมสิทธิประโยชน์และมาตรการต่างๆ เพื่อดึงดูดเอกชน เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี เป็นสัดส่วนไม่เกิน 100% ของเงินลงทุน การยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบหรือวัสดุจำเป็น สำหรับส่วนที่ผลิตเพื่อการส่งออก 1 ปี สิทธิประโยชน์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามาศึกษาลู่ทางการลงทุน เป็นต้น
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้มีนักลงทุนเอกชนต่างชาติสนใจร่วมลงทุนในอีอีซีหลายรายจากทั้งญี่ปุ่น จีน สหรัฐฯ อังกฤษและกลุ่มสหภาพยุโรป เร็วๆ นี้จะเปิดรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน หรือมาร์เก็ต ซาวด์ดิ้ง เพื่อให้ทราบว่าเอกชนสนใจจริงหรือไม่ รวมทั้งให้ทราบถึงความเหมาะสมของโครงการ รูปแบบให้เอกชนร่วมลงทุน และร่างเอกสารคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุน
ขณะเดียวกันได้ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)ออกระเบียบ พีพีพี อีอีซี แทร็ค เพื่อลดขั้นตอนและให้กระบวนการมีความรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันให้โครงการลงทุนในอีอีซีเดินหน้าอย่างรวดเร็ว และโปร่งใสตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวว่า ระเบียบพีพีพี อีอีซี แทร็ค เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อนแล้ว ยังเร่งกระบวนการทำงานไปจนถึงคัดเลือกเอกชนและลงนามสัญญา ภายใน 8-10 เดือน อีกทั้งยังเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และไม่สร้างภาระให้ภาครัฐในการกู้เงิน