น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยให้ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2562 จากเดิมที่จะสิ้นสุดลงในสิ้นปี 2560 นี้
ทั้งนี้ยังเห็นชอบให้ปรับปรุงเงื่อนไขในการขอรับส่งเสริม อาทิ การขยายขอบข่ายประเภทกิจการที่ให้ส่งเสริมตามมาตรการนี้ให้ครอบคลุมกว้างมากขึ้น โดยเปิดให้ขอรับการส่งเสริมได้เกือบทุกประเภทกิจการรวมกว่า 100 ประเภท จากเดิม 40 ประเภท รวมทั้งให้ผ่อนปรนเงื่อนไขเป็นกรณีพิเศษให้กิจการเอสเอ็มอีในบางประเภท
โดยการให้สิทธิและประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการเอสเอ็มอี แบ่งเป็นสิทธิและประโยชน์พื้นฐาน กำหนดตามประเภทกิจการให้ได้รับการเพิ่มเติมวงเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเกณฑ์ปกติ 100% เป็น 200% ในประเภทกิจการที่อยู่ในข่ายได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ การให้สิทธิและประโยชน์ในการยกเว้นหรือลดหย่อนอากรเพิ่มเติม เช่น กรณีมีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน
คณะกรรมการให้ผ่อนปรนเงื่อนไขสัดส่วนเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายให้ลดลงจากเกณฑ์ปกติครึ่งหนึ่ง เพื่อให้เอสเอ็มอีใช้ประโยชน์จากมาตรการนี้ได้ง่ายขึ้น/หรือกรณีที่ตั้งกิจการใน 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ หากเป็นประเภทกิจการในกลุ่มที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี จะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติมอีก 5 ปี และกิจการเอสเอ็มอีที่ได้รับส่งเสริมสามารถนำเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้บางส่วน ในมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาทด้วย
อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีโครงการของเอสเอ็มอีที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่บีโอไอกำหนด ยื่นขอรับการส่งเสริม 9 เดือนแรกปี 2560 จำนวน 48 โครงการ เงินลงทุน 1,738 ล้านบาท ขณะที่มีเอสเอ็มอีที่มีเงินทุนในโครงการต่ำกว่า 200 ล้านบาท ยื่นคำขอรับส่งเสริม 761 โครงการ มูลค่ากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 80% ของคำขอทั้งหมดในปี 2560 ที่มีอยู่ 978 โครงการ หรือมีมูลค่ารวมกว่า 3.7 แสนล้านบาท จากเป้าทั้งหมด 6 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้กำหนดประเภทกิจการเป้าหมายใน “เขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ” ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้แก่ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi ) และเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd)
ใน EECi ได้กำหนดกิจการเป้าหมายให้สอดคล้อง 6 อุตสาหกรรมที่กระทรวงวิทยาศาสตร์กำหนด คือ 1.เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 2.แบตเตอรี่-ประสิทธิภาพสูงและยานยนต์สมัยใหม่ 3.การบินและอวกาศ 4.เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 5.ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 6.เครื่องมือแพทย์ แบ่งประเภทกิจการเป้าหมายเป็น 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มกิจการด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงกิจการที่สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา 2.กลุ่มกิจการผลิตหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับ 6 อุตสาหกรรมเป้าหมายในเขต EECi
สำหรับ EECd ที่ประชุมเห็นชอบให้กำหนดกิจการเป้าหมายเป็น 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มกิจการด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงกิจการที่สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดิจิทัล 2.กลุ่มกิจการด้านอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งตามมติบอร์ดบีโอไอวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 โครงการลงทุนในกิจการเป้าหมายที่ตั้งในพื้นที่ EECi และ EECd จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม 2 ปี จากเกณฑ์ปกติ (รวมสิทธิประโยชน์เดิมเกิน 8 ปีได้) และลดหย่อนอีก 50% เป็นระยะเวลา 5 ปี