สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

“สมคิด”มั่นใจพ้นบ่วงเศรษฐกิจ สั่งเคลียร์เมกะโปรเจกต์แสนล้านส่งท้ายปีเก่า
14/12/2017
ข่าวเศรษฐกิจ
“สมคิด” ยันการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากบ่วงที่ถดถอยจากเมื่อ 3 ปีก่อนอย่างเด็ดขาดแล้ว ดัชนีเศรษฐกิจมหภาคทุกตัวดีขึ้นเมื่อเทียบย้อนหลัง 10 ปีไม่มีที่ไหนทำได้เท่ารัฐบาลนี้ อีกทั้งอุปสรรคต่างประเทศหมดไป เตรียมเคลียร์งานที่เหลือใน 2 สัปดาห์ก่อนสิ้นปี พร้อมทะยานปีหน้า



นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการบริหารนโยบายเศรษฐกิจของประเทศตลอด 1 ปีที่ผ่านมาว่า ข้อแรกสามารถดึงให้ประเทศไทยพ้นออกจากบ่วงที่กำลังถดถอยจากเมื่อ 3 ปี ที่ผ่านมาอย่างชัดเจน และพ้นอย่างเด็ดขาด พร้อมปรับฐานสู่เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ดังนั้น ลักษณะที่เกิดขึ้นบวกกับกรอบของดัชนีเศรษฐกิจมหภาคทุกตัวเมื่อเปรียบเทียบย้อนหลัง 10 ปีดีขึ้นหมดทุกตัว จึงไม่มีที่ไหนทำได้เท่ารัฐบาลชุดนี้ ไม่ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การมีเสถียรภาพ ภาวะเงินเฟ้อและภาวะหนี้สินทุกอย่างแข็งแรงมาก จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมแต่ละสถาบันยอมรับการจัดอันดับให้ประเทศไทยดีขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด กรณีที่สหภาพยุโรป (อียู) ยอมรับรัฐบาลไทย หมายความว่า อุปสรรคขวากหนามเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาหายไปหมดแล้ว นอกประเทศไม่มีปัญหาแล้ว ทั้งการค้าขายต่างๆ และการท่องเที่ยวจะเป็นตัวแปรมาช่วยเกื้อหนุนประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การทำงานของรัฐบาลไม่ใช่แค่ดึงเศรษฐกิจขึ้นมา แต่ได้วางแผนสำหรับปีหน้าซึ่งสำคัญมาก ฉะนั้น ในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 สัปดาห์ของปีนี้ จะขับเคลื่อนงานสำคัญเพื่อเตรียมตัวไว้สำหรับปีหน้า มี 3 เรื่องใหญ่ที่ต้องดำเนินการประกอบด้วย 1.โครงการรถไฟไทย-จีน จะมีพิธีตอกเสาเข็มในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งให้เร่งเส้นทางนี้ให้เกิดความรวดเร็ว โดยได้ศึกษาเส้นทางต่อไปไว้แล้ว

2.บริษัทแอร์บัสจะลงนามความร่วมมือเพื่อประเมินโอกาสทางธุรกิจของโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา กับบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ และยังมีอีกหลายบริษัทที่ต้องการทำเรื่องการบินและศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ดังนั้น เชื่อมั่นว่าจากเที่ยวบินและนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากถึงปีละ 34 ล้านคน จะเป็นประเทศใดไปไม่ได้นอกเหนือจากประเทศไทยที่มีความเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นศูนย์กลางการบิน โดยแอร์บัสถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โดยสายการบินลุฟฮันซ่าและสายการบินแอร์เอเชียได้มาจีบไทยไว้นานแล้ว

และ 3.โครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางถือเป็นโครงการขนาดใหญ่มากมูลค่า 95,800 ล้านบาท จะรายงานให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการประมูลในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ จากนั้นจะจัดให้มีการลงนามสัญญาก่อสร้างในเร็วๆนี้

“ผมจะเคลียร์สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อปิดฉากปีนี้ และขอเรียกปี 2560 ว่า เป็นช่วงก้าวพ้นจากบ่วงที่ผูกมัดขามานานและหว่านเมล็ดเพื่ออนาคตข้างหน้า เมื่อเริ่มปีหน้าหากไม่เหยียบตาปลากันเสียก่อนเชื่อว่าจะเป็นปีที่กระแสความเจริญมาที่เอเชียแน่นอน และไทยจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่จะขี่กระแสนี้ทะยานไปสู่อนาคตข้างหน้า ดังนั้น ใครจะมาว่าขาลง ผมมองต่างกัน ถ้ามีกำลังใจคิดในมุมบวก มั่นใจว่าจะเป็นปีที่ไทยเทคออฟ (ทะยาน) ขึ้นได้ ถ้าทำให้ดีๆ”

นอกจากนี้ ในรายงานของธนาคารโลกได้เขียนไว้ชัดเจนที่สุดว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกกำลังเติบโต และความมหัศจรรย์กำลังกลับเข้ามาในภูมิภาคนี้ ซึ่งกลุ่มประเทศที่ไปได้ดีที่สุดคือไทย โดยลำดับของไทยเริ่มขยับเข้าใกล้มาเลเซีย จากที่ทิ้งไทยมา 10-20 ปี ในยุคมหาเธร์ โมฮัมหมัด เป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย แต่ตอนนี้ไทยเข้าใกล้มาเลเซียแล้ว และในรายงานระบุด้วยว่า คนที่จนจริงๆ วันหนึ่งมีรายได้ไม่ถึง 2 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 64 บาท (32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) ค่อยๆหมดไป ไทยจึงมีโอกาสที่จะเอาทรัพยากรส่วนใหญ่ไปต่อยอดกับชนชั้นกลาง และเอาทรัพยากรไปปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนให้ได้

“ในปีหน้านายกรัฐมนตรีประกาศแน่นอนว่า พลังงานส่วนใหญ่ของรัฐบาลจะลงไปยกระดับฐานรากให้แข็งแรงขึ้นมา ตรงนี้สำคัญแต่วิธีการของรัฐบาลไม่เหมือนคนอื่นที่เขาคิดกัน ไม่ได้อยู่ที่ตัวสินค้า แต่จะเริ่มจากพื้นที่รอบชุมชนช่วยกันผลิตสินค้าทางการเกษตร สร้างชุมชนให้เข้มแข็งและการท่องเที่ยว”

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากธนาคารโลกออกรายงานเกี่ยวกับปัญหาความยากจนแถบเอเชียระบุว่า จากผลวิเคราะห์ข้อมูลปี 2545-2558 ไทยและมาเลเซียหลุดพ้นจากความยากจนและก้าวสู่ความมั่งคั่ง เมื่อนำข้อมูลความยากจนของธนาคารโลกเทียบกับการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปีแล้ว นับว่าไทยอยู่ระดับกลุ่มคนมีรายได้ปานกลาง เพราะกลุ่มที่มีความยากจนแต่จัดการกับปัญหาไปแล้ว โดยเฉพาะมติ ครม.อนุมัติมาตรการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฟส 2 ในเดือน ธ.ค.นี้ จะแก้ปัญหาความยากจนได้ โดยธนาคารโลกเสนอให้ไทยแก้ปัญหา 3 ด้านคือ 1.การให้โอกาสด้านเศรษฐกิจกับผู้มีรายได้น้อย 2. การพัฒนาระบบดูแลสังคม สาธารณสุข ประกันสังคม และการออมเงิน และ 3.การใช้ภาษีลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ.
ที่มาของข่าว: ไทยรัฐออนไลน์

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.