สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

เศรษฐกิจโลกฟื้นหนุนการค้า แบงก์ชาติยืนยันกรอบเงินเฟ้อ1-4%
24/10/2017
ข่าวเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจโลกฟื้นหนุนการค้า แบงก์ชาติยืนยันกรอบเงินเฟ้อ1-4%

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยอยู่ในระดับต่ำคาดว่าจะเข้าสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในช่วงต้นปีถึงกลางปีหน้าโดยยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องปรับกรอบเงินเฟ้อในช่วงนี้ ส่วนการกำหนดกรอบเงินเฟ้อของปี 2561 นั้น มองว่ากรอบที่มีอยู่ก็น่าจะใช้ได้ดี ปัจจุบันอยู่ในระดับ 2.5% บวกลบ 1.5% หรือช่วง 1-4%

ทั้งนี้ที่ผ่านมาการที่อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับต่ำเกิดจากราคาสินค้าเกษตรต่ำจากฐานปีที่ผ่านมาสูงจากปัญหาภัยแล้งรุนแรง ซึ่งคิดเป็น 30% ของเงินเฟ้อทั้งหมด และเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอีคอมเมอร์ส เปิดเสรีในการขายมากขึ้นโดยกรณีเงินเฟ้อต่ำนั้นหลายธนาคารกลางเริ่มมองกรอบเงินเฟ้อที่ยืดหยุ่นมากขึ้นและคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะกลับสู่กรอบเป้าหมายช้ากว่าที่คาด

นายวิรไทยังกล่าวถึงผลการประชุมธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) และธนาคารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ว่าไอเอ็มเอฟ
ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจของโลกปีนี้อยู่ที่ 3.6% และในปีหน้า 3.7% ซึ่งการฟื้นตัวขยายฐานกว้างมากขึ้นกระจายไปสู่กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลักการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังส่งผ่านไปยังการค้า การส่งออกและการนำเข้าสินค้าอีกด้วย

นอกจากนี้ไอเอ็มเอฟได้ตั้งข้อสังเกต ถึงกรณีที่เศรษฐกิจฟื้นตัวดี และตลาดแรงงานถึงแม้จะมีกิจกรรมเพิ่มขึ้นจากภาคการผลิต แต่ค่าจ้างแรงงานไม่ปรับเพิ่มขึ้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำมีอยู่หลายสาเหตุเช่นกำลังการผลิตส่วนเกินสูง การพัฒนาการด้านการผลิตที่หันมาใช้ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเทคโนโลยี หรืออีคอมเมอร์ส ซึ่งผู้ผลิตไม่สามารถมีอำนาจต่อรองด้านราคา เพราะมีราคาเปรียบเทียบในออนไลน์ทำให้ปรับราคาได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันหลายประเทศยังเจอปัญหาโครงสร้างที่สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุสูงขึ้นทำให้มีความต้องการออมเงินมากขึ้นทำให้กำลังซื้อไม่แรงเท่าที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง เช่นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำมานาน และธนาคารกลางของประเทศอุตสาหกรรมหลักเริ่มส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจส่งผลให้ต้นทุนทางการเงิน และราคาสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น ทำให้กลุ่มประเทศเกิดใหม่ ที่เคยพึ่งพาต้นทุนทางการเงินถูกได้รับผลกระทบได้ และปัญหารัฐศาสตร์ สงครามบนคาบสมุทรเกาหลีรวมทั้งการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานได้

นอกจากนี้ในรายงานของ Global Financial Stability Report ของไอเอ็มเอฟ ระบุว่าจะต้องจับตากลุ่มธุรกิจสถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคารหรือนอนแบงก์ ที่เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น จากการที่อัตราดอกเบี้ยต่ำนาน การมีสภาพคล่องส่วนเกินสูง ทำให้เกิดความเปราะบางขึ้นในหลายจุดของระบบการเงินโลกที่จะต้องติดตามต่อไป รวมถึงต้องติดตามการไล่ล่าผลตอบแทนสูงขึ้น(Hunt for yield) ในกลุ่มตราสารที่มีระดับความน่าเชื่อถือค่อนข้างต่ำ

ปัจจุบันพบว่ามีอัตราการลงทุนในตราสารดังกล่าวสูงถึง 45-50% จากเดิมที่ 25% ซึ่งเห็นการออกตราสารหนี้ในกองทุนที่ความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่ควร เช่น ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีหลายประเทศที่ไม่เคยออกตราสารหนี้ หรือการออกตราสารกู้เงินในต่างประเทศ มาออกตราสารหรือ ประเทศที่เคยผิดนัดชำระหนี้มาก่อนก็กลับมาออกตราสารได้ สะท้อนว่า เห็นการแสวงหาผลตอบแทนที่ทำให้อาจจะมีการประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร

ส่วนประเทศไทยนั้นที่ผ่านมามีตราสารหนี้ หรือบีอี ผิดนัดชำระหนี้ ทำให้ผู้ลงทุนระมัดระวังมากขึ้นประกอบกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ปรับเงื่อนไขหลักเกณฑ์ จึงทำให้ปริมาณการออกตราสารปรับลดลงบ้าง
ที่มาของข่าว: แนวหน้า

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.