นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยในงานการเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการและพิธีการทางศุลกากร ตามพระราชบัญญัติศุลกากร 2560 ว่า พระราชบัญญัติศุลกากร 2560 ได้รับการประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 กฎหมายศุลกากรฉบับนี้ ได้สนับสนุนนโยบายหลักของรัฐบาล 3 เรื่อง คือ 1.การอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยเฉพาะการสนับสนุนการลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทย หรือ East of Doing Business ที่จะลดกระบวนการและพิธีการทางศุลกากรให้คล่องตัว และมีการนำระบบไอที เข้ามาสนับสนุนการทำงานมากยิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องที่ 2 การสร้างความโปร่งใสในการทำงานของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร สาระสำคัญ คือปรับลดเงินสินบนรางวัล จากอัตรา 55% ของเงินค่าขายของกลางหรือเงินค่าปรับ เป็นอัตรา 20% สำหรับเงินสินบนที่มีการแจ้งการกระทำผิดซึ่งหน้าที่ ไม่ใช่งานเอกสาร และอัตรา 20% สำหรับเงินรางวัลให้เจ้าหน้าที่ที่ตรวจพบการกระทำผิดซึ่งทั้ง 2 กรณีจะถูกกำหนดวงเงินไว้ไม่เกินคดีละ 5 ล้านบาทรวมถึงลดระยะเวลาการประเมินอากรให้เหลือ 3 ปี
เรื่องที่ 3 คือการสนับสนุนส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนและโลจิสติกส์ในภูมิภาคโดยปรับปรุงเรื่องการจัดตั้งเขตปลอดอากรให้ทันสมัย คล่องตัว สะดวก รวดเร็ว ดึงดูดนักลงทุนให้มาลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล การลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกสำหรับสินค้าถ่ายลำที่มาพักไว้ก่อนส่งต่อไปประเทศที่ 3 ณ ท่าเรือและสนามบินเพื่อส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสินค้าถ่ายลำในภูมิภาค รวมถึงสินค้าผ่านแดนที่เราจะใช้ข้อตกลงแกตต์ เป็นบันทึกข้อตกลงระหว่างประเทศให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจผ่านแดนไปประเทศเพื่อนบ้านได้ไม่สะดุด
“กฎหมายศุลกากรฉบับใหม่จะปรับให้ทันสมัยอำนวยความสะดวกในด้านการค้า รวมถึงลดภาระของเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำเรื่องกฎหมายลำดับรอง โดยมีคณะกรรมการ 9 คณะทำงาน สิ่งสำคัญ คือ การลดทอนอำนาจเจ้าหน้าที่ในการใช้ดุลยพินิจน้อยลงด้วย และยึดหลักธรรมาภิบาล” นายวิสุทธิ์กล่าว
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า การเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการเอกชน มี 2 ประเด็นหลัก คือ ความต้องการของผู้ประกอบการที่จะให้กรมปรับปรุงขั้นตอนที่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจในส่วนใดบ้าง และต้องเพิ่มขั้นตอนการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์
มาใช้ในส่วนใดอีก ส่วนการนำระบบไอทีเข้ามาช่วยตรวจสอบ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง ที่เป็นด่านท่าเรือสำคัญ รวมถึงการนำเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยเข้ามาดำเนินการช่วยนายตรวจปล่อยสินค้า ที่เดิมทำคนเดียว เพื่อป้องกันการทุจริต ให้มีความโปร่งใส ในการตรวจปล่อยสินค้า
นอกจากนี้ยังรวมถึงการถ่ายลำเพื่อไปอีกประเทศหนึ่งจะเป็นระบบกระดาน ดังนั้นจะต้องนำระบบอีล็อกเข้ามาช่วย เพื่อลดอุปสรรค ช่วยในด้านความโปร่งใส ป้องกันการทุจริต โดยเฉพาะการลดอำนาจการทำงานของเจ้าหน้าที่ และปรับปรุงระบบต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมากรมศุลกากรเน้นเรื่องการสร้างความโปร่งใส เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ดัชนีในเรื่องการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในปีงบประมาณ 2560 ดีขึ้น
มาอยู่ที่ 86.25 คะแนน จากปีงบประมาณ 2559 ที่อยู่ที่ 66 คะแนน สะท้อนว่าแนวทางการป้องกันต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“การรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชนผู้ประกอบการผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนครั้งนี้ เพื่อหาแนวทางร่วมกันปรับปรุงอนุบัญญัติศุลกากรว่ามีประเด็นใดที่ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติ ควรแก้ไขปรับปรุงให้คล่องตัว และมีประเด็นไหนที่สามารถนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปเพิ่มเติมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นายกุลิศ กล่าว
สำหรับการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2560 กรมศุลกากรจัดเก็บได้ 1.047 แสนล้านบาท และตั้งเป้าหมายจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2561 ไว้ที่ 1.1 แสนล้านบาท คาดว่าจะทำได้ตามเป้า เนื่องจากได้เร่งรัดการจัดเก็บภาษีตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ หรือตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 และจะประชุมเพื่อติดตามการจัดเก็บรวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บทุก 2 สัปดาห์