นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงการคลังต้องการให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจว่า การทำนโยบายของ ธปท.ประสานงานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้หารือและชี้แจงการดำเนินนโยบายกับกระทรวงการคลังอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนโยบายการเงินจะเป็นรูปแบบของคณะกรรมการ ซึ่ง กนง.จะประชุมครั้งใหม่วันที่ 27 ก.ย.นี้ และ ธปท.จะนำเสนอการเปลี่ยนแปลงของภาพรวมเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ กนง.จะตัดสินใจอย่างไรขึ้นอยู่กับการพิจารณาหลายปัจจัย โดยจะพิจารณาความสมดุล ทั้งการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ และการดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งต้องมองทั้งผู้ฝากเงิน และผู้กู้เงิน และภาคส่วนอื่นๆของเศรษฐกิจด้วย เพราะไม่ต้องการให้เกิดความเปราะบางในบางภาคส่วนของเศรษฐกิจในอนาคต
“ในทุกเรื่อง ทุกนโยบาย เป็นธรรมดาที่มีทั้งคนได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์ ซึ่งต้องพิจารณาทั้งสองด้าน ขณะเดียวกัน เราจะมองในระยะสั้นด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาวด้วย เพราะ ธปท.มีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และแทบจะเป็นองค์กรเดียวในขณะนี้ที่ดูแลเรื่องนี้อย่างชัดเจน ดังนั้น ในการดำเนินนโยบายการเงินต้องดู 3 เรื่อง คือ 1.เสถียรภาพด้านราคา ซึ่งเป็นเป้าหมายกรอบของ ธปท. 2.ดูแลด้านปริมาณเงินให้มีเพียงพอที่จะเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ และ 3.ดูเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะก่อให้เกิดการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากขึ้น และความระมัดระวังของนักลงทุนจะลดลง ส่วนการลดดอกเบี้ยอาจมีผลต่อฐานการออมของประเทศ รวมทั้งกระทบต่อดอกเบี้ยเงินฝากของผู้สูงอายุ”
ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น เป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติเห็นพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของไทย รวมทั้งปัจจัยการเมืองที่ดีขึ้น โดยการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นส่วนหนึ่งทำให้เงินไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้นของเงินทุนต่างประเทศนั้น ธปท.ยังคงติดตามอย่างต่อเนื่อง และเห็นการเก็งกำไรเป็นระยะๆ ซึ่งในส่วนที่มากเกินไป ธปท.จะดูแลเป็นระยะๆ รวมถึงดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเร็วเกินไป ซึ่งส่วนนี้เป็นอีกส่วนที่ทำให้ประเทศมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น.