“เส้นทางสายไหมยุค ใหม่” หรือชื่อที่ใครหลายๆคนเคยได้ยิน “One Belt One Road (OBOR)” กลยุทธ์สำคัญที่ประเทศไทยมุ่งหวังยกระดับการค้าในภูมิภาคให้ขยับตัวสูงขึ้น
พุ่งเป้าไปที่การเจรจาความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีกับ 4 ประเทศเป้าหมายบนเส้นทางสายไหมใหม่ที่ว่านี้ ได้แก่ ยูเรเซีย ปากีสถาน ตุรกี ศรีลังกา
ตัวอย่างความคืบหน้าที่เกิดขึ้น เอฟทีเอไทย-ปากีสถาน ในปีนี้พยายามที่จะหาข้อสรุปในกรอบการเปิดตลาดและลดภาษีสินค้าก่อน ด้วยปากีสถานเป็นตลาดสำคัญในเอเชียใต้
ยุคดิจิทัลโลกเปิดกว้าง การสื่อสาร การเข้าถึงกันทำได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น เราๆท่านๆยิ่งควรต้องรู้ให้มากขึ้น รอบด้านมากขึ้นตามไปด้วย อรมน ทรัพย์ทวีธรรม รองอธิบดี กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ บอกว่า ไทยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดเจรจาเอฟทีเอไทย-ศรีลังกา
“ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีประชากรมาก และกำลังมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคหลายโครงการ...ถ้าทำเอฟทีเอจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีได้มากขึ้น”
กลางเดือนที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) จัดสัมมนา “FTA ไทย-ศรีลังกา : เปิดประตูการค้าสู่เอเชียใต้”
การสัมมนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย-ศรีลังกา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้มอบให้มูลนิธิ สวค.ดำเนินการ โดยกำหนดระยะเวลาศึกษาไว้ระหว่างเดือนสิงหาคม 2559-เดือนสิงหาคม 2560
สืบเนื่องจากบริบท “การค้า”...“การลงทุนโลก” เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การค้ากับประเทศคู่ค้าหลักของไทยเริ่มชะลอตัว กระทรวงพาณิชย์จึงให้ความสำคัญกับการแสวงหาตลาดใหม่ให้กับสินค้าส่งออกของไทย
“ศรีลังกา”...ถือเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจ เพราะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด สูงเฉลี่ยกว่าร้อยละ 5 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียใต้รองจากมัลดีฟส์
“แม้ศรีลังกาจะมีประชากรเพียง 20 ล้านคน แต่เป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอัญมณี และสัตว์ทะเล มีแรงงานทักษะฝีมือ เสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา...ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง มีการพัฒนาจนเป็นระบบเศรษฐกิจตลาด”
ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิ สวค. กล่าวปาฐกถาพิเศษ
นอกจากนี้ “ศรีลังกา” ยังมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจสูงเป็นอันดับสามในเอเชียใต้ บวกกับที่ตั้งทางยุทธศาสตร์บนเส้นทางเดินเรือเชื่อมระหว่างเอเชียและยุโรป และอยู่ในเส้นทางของโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง หรือ Belt and Road Initiative... “เส้นทางสายไหมศตวรรษ 21” ของจีน
ที่สำคัญ...ความเชื่อมโยงด้านศาสนา วัฒนธรรมที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและศรีลังกายังส่งผลให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ดังนั้นการทำ FTA กับศรีลังกาน่าจะเป็นประโยชน์กับไทย
อีกทั้ง “ศรีลังกา” ยังสามารถเป็นประตูการค้าไปสู่ทวีปเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ทวีปยุโรป โดยนักลงทุนอาจใช้ศรีลังกาเป็นฐานการผลิตเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี (GSP Plus) ในการส่งสินค้าไปสหภาพยุโรป
ดร.พิเศษพร วศวงศ์ หัวหน้าทีมวิจัย นำเสนอผลการศึกษาของมูลนิธิ สวค.พบว่า การทำ FTA กับศรีลังกาจะนำไปสู่การลด...เลิกอุปสรรคต่อการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน
...เป็นผลดีต่อการขยายการค้าระหว่าง “ไทย” กับ “ศรีลังกา”
น่าสนใจว่าสาขาอุตสาหกรรมที่ทั้งสองประเทศสามารถใช้จุดแข็งเติมเต็มซึ่งกันและกัน ได้แก่ เกษตร อาหารแปรรูป ประมงและประมงแปรรูป อัญมณีและเครื่องประดับ ชิ้นส่วนยานยนต์ การท่องเที่ยว การก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน พลังงาน ค้าปลีก
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ ผู้ประกอบการไทยมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ที่น่าจะสามารถเข้าไปลงทุนในศรีลังกา...แถมยังส่งออกไปสู่เอเชียใต้และยุโรปได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเชื่อมโยงด้านการคมนาคมขนส่ง โลจิสติกส์ หากมีการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย...โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก การทำ FTA จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย และเกิดการเชื่อมโยงระบบขนส่งของไทยเข้ากับท่าเรือศรีลังกา...เชื่อมกับทวีปยุโรปได้โดยง่าย
อรมน รองอธิบดี กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เสริมว่า หลังจากได้รับผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์จากมูลนิธิ สวค.แล้ว กรมฯก็จะใช้ประกอบการจัดทำความเห็นเสนอต่อกระทรวงพาณิชย์และรัฐบาล เพื่อพิจารณาเรื่องการจัดทำ FTA ระหว่างไทยและศรีลังกาต่อไป
สืบเนื่องจากการเยือนศรีลังกาของรองนายกรัฐมนตรี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เมื่อเดือนมีนาคม 2559 และการเยือนไทยของประธานาธิบดีศรีลังกา นายไมตรีปาละ สิริเสนา ในปี 2558-2559 ได้มีการตั้งเป้าหมายที่จะยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของสองประเทศและขยายมูลค่าการค้าระหว่างกัน
“การทำเอฟทีเอน่าจะมีส่วนช่วยในการขยายมูลค่าการค้าสองฝ่ายให้บรรลุเป้าหมาย 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2563 ตามที่ตั้งไว้”
อีกเรื่องสำคัญก็คือการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับศรีลังกา นอกจากทางเศรษฐกิจแล้วยังมีความสัมพันธ์ทางด้านอื่น โดยเฉพาะความช่วยเหลือกันด้านวิชาการ จะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้มากขึ้น คำว่าหุ้นส่วนก็คือการเกื้อหนุนกัน ด้านวิชาการที่มีศักยภาพ ด้านเทคนิค องค์ความรู้ต่างๆ
ปัจจุบันศรีลังกาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ รองจากอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ ตามลำดับ ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา (2555-2559)...การค้ารวมมีมูลค่าเฉลี่ย 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี 2559 การค้ารวมไทย-ศรีลังกา มีมูลค่า 476 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 436 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการนำเข้ามูลค่า 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมา...ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามาโดยตลอด
“สินค้าส่งออก” ที่สำคัญของไทยไปศรีลังกา ได้แก่ ปลาแห้ง ผ้าผืน รถยนต์ อุปกรณ์รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ น้ำตาลทราย เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ยางพารา กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ
ส่วน “สินค้านำเข้า” ที่สำคัญของไทยจากศรีลังกา ได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่ง และทองคำ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องประดับอัญมณี ผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่นๆ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ กาแฟ ชา เครื่องเทศ เคมีภัณฑ์ ผ้าผืน เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
“ศรีลังกา” เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ตอนนี้จีนเข้าไปลงทุนเยอะ แล้วศรีลังกาก็มีท่าเรือที่ทันสมัย แล้วก็มีความใกล้ชิดกับอินเดียใต้มาก...ถ้าประเทศไทยสามารถมีข้อตกลงเอฟทีเอกับศรีลังกาได้ เราจะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เข้าไปตลาดอื่นได้ไม่ยาก
ศรีลังกา...ประตูเอเชียใต้ ดินแดนแห่งการค้า การลงทุน “ขุมทรัพย์” แห่งใหม่ในโลกยุคใหม่ “ไทยแลนด์ 4.0”.