นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย(Thai Industries Sentiment Index : TISI)มิถุนายน 2560 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 84.7 ปรับตัวลดลงจากระดับ 85.5 ในเดือนพฤษภาคม เป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 และต่ำสุดในรอบ 10 เดือนนับจากเดือนกรกฎาคม 2559 อยู่ที่ระดับ 84.8 ซึ่งค่าดัชนีฯ ที่ลดลงเกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการและผลประกอบการ
ทั้งนี้ผู้ประกอบการมีความกังวลต่อกำลังซื้อภายในประเทศจากการระมัดระวังการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ประกอบกับอยู่ในช่วงฤดูฝนทำให้การดำเนินกิจกรรมของภาคธุรกิจชะลอตัวลง ขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ทำให้เกรงว่าจะประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
“ยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศจากภาครัฐเท่าที่ควร เช่นมาตรการลดหย่อนภาษีจากการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ทำให้มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2560 และเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับประเทศอินเดียและปากีสถาน เพื่อขยายตลาดสินค้าไทย ควบคู่กับการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยมีตัวแทนภาครัฐช่วยประสานการลงทุน เจรจาหาคู่ค้า รวมถึงการจัดตั้งบริษัท เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก เป็นต้น” นายเจนกล่าว
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 100.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 99.6 ในเดือนพฤษภาคม สะท้อนว่าผู้ประกอบการมีมุมมองต่อการดำเนินกิจการใน 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในระดับที่ดีขึ้น เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวดีขึ้นจากการใช้จ่ายของภาครัฐ และการออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) รวมทั้งภาคการส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราแลกเปลี่ยน สถานการณ์การเมืองในประเทศ ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อยู่ในระดับทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐให้มีการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศ CLMV และให้ความรู้ผู้ประกอบการในการเข้าถึงช่องทางการตลาดในต่างประเทศ พร้อมเสนอให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการ SMEs เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน รวมถึงแก้ไขปัญหาผังเมืองที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และสนับสนุนให้การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐใช้สินค้าของ SMEs มากขึ้น