"กรมโรงงาน" คาด "พรก.แรงงานต่างด้าว" ฉุดอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง อาจทำวัตถุดิบลดลง ส่วนยอดตั้ง-ขยายโรงงาน 6 เดือนอยู่ที่ 4,469 โรง คาดทั้งปีโต 3-5%
นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยถึงผลกระทบจากกฎหมายแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่ต่อภาคอุตสาหกรรม ว่า จะส่งผลกระทบบ้างในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง เช่น ตัวเย็บเสื้อผ้า ประมง อาหารทะเล รองเท้า เป็นต้น ทำให้กำลังการผลิตลดลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมผลิตอาหารทะเล อาจจะได้รับผลกระทบในเรื่องของวัตถุดิบที่ลดลง อันเนื่องมาจากเรือประมงบางส่วนไม่สามารถออกทะเลได้
อย่างไรก็ตาม การที่นายกรัฐมนตรีได้ชะลอการบังคับใช้กฎหมายออกไป ก็จะช่วยบรรเทาผลกระทบได้บ้าง และคาดว่าหลังการหารือกับภาคเอกชนเพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาร่วมกัน จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวได้ และจะส่งผลดีในระยะยาว ทำให้แรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง
ส่วนการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมของไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ระหว่างเดือน มกราคม-มิถุนายน มีผู้ประกอบการมีการขอตั้งและขยายโรงงาน จำนวน 2,469 โรงงาน คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 218,551 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 151,223 คน แบ่งเป็นการประกอบกิจการใหม่ 2,024 โรงงาน เงินลงทุน 126,416 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 106,971 คน และขยายกิจการโรงงาน จำนวน 445 โรงงาน เงินลงทุน 92,134 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 44,252 คน ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการขอตั้งโรงงานและขยายกิจการจำนวน 2,442 โรงงาน เงินลงทุน 228,654 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 97,238 คน
"ตัวเลขการขอประกอบกิจการ และขยายกิจการโรงงานที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้สะท้อนถึงนัยยะสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังตัวเลขจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เพราะหลังจากเคลียร์บัญชีปีที่ผ่านมาในช่วงครึ่งปีแรกเสร็จแล้ว ก็จะเห็นเงินที่จะนำมาลงทุนในปีนี้ ทำให้ตัวเลขการขอในช่วงที่เหลือของปีจะเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะสูงกว่าปีที่ผ่านมา 3-5%"
ทั้งนี้ แม้ว่าตัวเลขการตั้ง และขยายโรงงานจะทรงตัว แต่ตัวเลขการจ้างงานเพิ่มขึ้นมาก โดยใน 6 เดือนแรกปีนี้มีจำนวน 151223 คน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 97,238 คน หรือเพิ่มขึ้นถึง 55% เนื่องจากอุตสาหกรรมที่มีการตั้ง และขยายกิจการเพิ่มขึ้นมากก็คือ อุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้แรงงานสูง
สำหรับ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ขอประกอบกิจการใหม่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในอุตสาหกรรมอาหารถึง 271 โรงงาน เงินลงทุน 17,380 ล้านบาท ซึ่งมองว่าเป็นผลมาจากนโยบายเร่งส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารขอตั้งโรงงานใหม่เป็นจำนวนมาก รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์โลหะ 186 โรงงาน เงินลงทุน 6,449 ล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก 167 โรงงาน เงินลงทุน 6,554 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์อโลหะ 156 โรงงาน เงินลงทุน 4,103 ล้านบาท และกลุ่มผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์รวมทั้งการซ่อมยานพาหนะและอุปกรณ์ 148 โรงงาน เงินลงทุน 11,793 ล้านบาท เป็นต้น
กลุ่มอุตสาหกรรมที่การขอขยายกิจการส่วนใหญ่ อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารเช่นเดียวกันมีถึง 94 โรงงาน เงินลงทุน 11,497 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ 43 โรงงาน เงินลงทุน 4,474 ล้านบาท กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก 35 โรงงาน เงินลงทุน 4,310 ล้านบาท กลุ่มผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์ฯ 31 โรงงาน เงินลงทุน 4,574 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์จากพืช 26 โรงงาน เงินลงทุน 1,780 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์อโลหะ 26 โรงงาน เงินลงทุน 1,715 ล้านบาท เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายได้รับการตอบรับที่ดีมีการขอจดประกอบกิจการทั้งสิ้น 575 โรงงาน ยอดลงทุน 52,919 ล้านบาท และในกลุ่ม EEC ที่มาขอจดประกอบกิจการทั้งสิ้น 284 โรงงาน ยอดลงทุน 23,806 ล้านบาท
นายมงคล กล่าวต่อว่า หากมองในภาพรวมของการลงทุนใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ถือว่าเป็นผู้ประกอบการให้การตอบรับค่อนข้างดี มีเม็ดเงินลงทุนกว่า 52,919 ล้านบาท โดย 5 อันดับแรกของอุตสาหกรรมเป้าหมายที่การเติบโตในการขอจดประกอบและขยายสูงสุดได้แก่ อุตสาหกรรมแปรูปอาหาร จำนวน 368 โรงงาน เงินลงทุน 20,786 ล้านบาท อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 74 โรงงาน เงินลงทุน 22,427 ล้านบาท อุตสาหกรรมยานยนต์ จำนวน 40 โรงงาน เงินลงทุน 5,048 ล้านบาท อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และแขนกล จำนวน 32 โรงงาน เงินลงทุน 1,659 ล้านบาท อุตสาหกรรมเกษตรเทคโนชีวภาพ จำนวน 29 โรงงาน เงินลงทุน 1,149 ล้านบาท เป็นต้น
สำหรับภูมิภาคที่มีการขอจดประกอบและขยายกิจการมากที่สุด ได้แก่ ภาคกลาง จำนวน 1,111 โรงงาน เงินลงทุน 112,699 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 64,929 คน รองลงมาภาคตะวันออก จำนวน 384 โรงงาน เงินลงทุน 38,862 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 12,660 คน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 367 โรงงาน เงินลงทุน 28,551 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 10,190 คน ส่วนจังหวัดที่มีการขอประกอบกิจการมากที่สุด ได้แก่ สมุทรสาคร จำนวน 211 โรงงาน เงินลงทุน 6,392 ล้านบาท รองลงมาสมุทรปราการ จำนวน 156 โรงงาน เงินลงทุน 14,437 ล้านบาท และชลบุรี จำนวน 131 โรงงาน เงินลงทุน 9,589 ล้านบาท
ขณะที่การขยายตัวของโรงงานในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC มีการจดประกอบกิจการ ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จำนวน 157 โรงงาน เงินลงทุน 16,732 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 4,695 คน จังหวัดระยอง จำนวน 79โรงงาน เงินลงทุน 5,002 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 1,329 คน และ จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 52 โรงงาน เงินลงทุน 3,831ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 1,309 คน อย่างไรก็ตามจากตัวเลขการขยายตัวของครึ่งปีที่ผ่านมา มีความใกล้เคียงกับการการขยายตัวในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แต่หากมองในภาพรวมของเศรษฐกิจโลกแล้ว ถือว่าประเทศไทยมีการขยายตัวในตัวเลขที่น่าพอใจ