ส่งออกดีมาก แต่รายได้เศรษฐกิจไทยยังไม่ดีขึ้น รัฐลงทุนล่าช้า ส่งผลให้ ธปท.ปรับขึ้นประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้แค่ 0.1% คาดขยายตัวได้ 3.5% กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 1.5% อีกรอบหลังคงต่อเนื่องยาวนานมา 26 เดือน หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สั่งจับตาเงินร้อนระยะสั้นยังทะลัก และแรงงานต่างด้าว
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายเสถียรภาพการเงินในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรอายุ 1 วัน ไว้ที่ 1.5% ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการคงดอกเบี้ยต่อเนื่อง 26 เดือน หรือ 2 ปี 2 เดือน โดยนโยบายการเงินยังควรอยู่ในระดับผ่อนคลายต่อไป แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวชัดเจน แต่ยังไม่กระจายตัวไปทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่มีส่วนหนึ่งไม่สามารถรับมือการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม จากการส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้น จากปัจจัยด้านกำลังซื้อที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ ธปท.ปรับขึ้นประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวในระดับ 3.4% เพิ่มขึ้นเป็น 3.5% และปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปีหน้าขึ้นเป็น 3.7% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.6% โดย ธปท.ปรับเพิ่มประมาณการการส่งออกปีนี้ จากที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.2% ขึ้นเป็น 5% แต่ปรับลดประมาณการการส่งออกปีหน้าจากที่คาด 2% ลงเหลือ 1.7%
ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าวต่อว่า ในส่วนของภาครัฐด้านการใช้จ่ายนั้น ธปท.ประมาณการการขยายตัวไว้ที่ 2.2% ทรงตัวเท่ากับประมาณการในครั้งก่อน แต่ในส่วนของการลงทุนภาครัฐนั้น ธปท.ได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวลงเหลือ 7.7% จาก 11.8% ในครั้งก่อน เนื่องจากการลงทุนภาครัฐยังมีความล่าช้า โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า ส่งผลต่อเนื่องถึงการลงทุนภาคเอกชนที่รอโครงการรัฐ ทำให้ภาพรวมยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดว่าการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวได้ 1.7% เท่านั้นในปีนี้ ลดลงจากการประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะโต 2.4%
“ธปท.ได้ปรับลดประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐาน คาดจะเติบโตได้เพียง 0.8% จากเดิมคาดไว้ที่ 1.2% และลดการประมาณการเงินเฟ้อพื้นฐานลงเหลือ 0.6% จาก 0.7% ในการประมาณการครั้งก่อน ทั้งนี้ ทำให้เงินเฟ้อทั้งปีนี้หลุดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในปีนี้ที่ 1%-4% และเป็นการหลุดเป้าต่อเนื่องเป็นปีที่ 3”
นายจาตุรงค์ยังกล่าวถึงในส่วนของภาคต่างประเทศนั้น การกลับมาที่เร็วขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนทำให้ ธปท.คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีปีนี้ไว้ที่ 34.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อน 400,000 คน ส่งผลดีต่อดุลบริการบริจาค ในขณะที่ดุลการค้าเกินดุลต่อเนื่องตามการส่งออกที่ดีกว่าการนำเข้า ทำให้ ธปท.ประมาณการว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปีนี้จะทำลายสถิติสูงสุดอีกครั้ง โดยเกินดุล 39,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะเกินดุล 36,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยประเมินการขยายตัวของการส่งออกในปีนี้ไว้ที่ 10.9% สูงขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 7.2%
ทั้งนี้ ประเด็นที่ กนง.มีความเป็นห่วงและสั่งให้มีการติดตามเป็นพิเศษ มีด้วยกัน 2 เรื่องคือ ให้ติดตามการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้น ซึ่งมีความผันผวนสูงมาก จากปัจจัยในต่างประเทศ ส่งผลให้เงินระยะสั้นเข้าต่อเนื่อง โดยมาตรการการลดวงเงินพันธบัตรระยะสั้นของที่ทำต่อเนื่องมา 4 เดือน ได้ช่วยลดการพักของเงินระยะสั้นจากต่างประเทศได้บ้าง แต่ยังมีเงินไหลเข้ามาในไทยต่อเนื่อง ขณะที่อีกประเด็นที่ กนง.ให้จับตาคือ สถานการณ์แรงงานต่างด้าวที่ต้องปรับตัวรับกับกฎหมายใหม่ที่ออกมา แม้จะมีการเลื่อนการบังคับใช้ไป แต่ก็ต้องติดตามว่าจะมีแรงงานต่างด้าวไหลกลับออกไปมากหรือน้อยเท่าไร และจะกระทบกับผลิตภาพโดยรวมของระบบหรือไม่