นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ในเดือนกรกฎาคม 2560 กระทรวงการคลัง จะปรับประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) หรืออัตราขยายตัวเศรษฐกิจปี 2560 ใหม่อีกครั้งจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.6% ในปีนี้ ซึ่งตอนนี้บางปัจจัยมีแนวโน้มดีกว่าที่คาดไว้ เช่น ภาคการส่งออก โดยในเดือนพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา ขยายตัวได้ถึง 12.7%
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการใช้จ่ายของรัฐบาลในส่วนของเบิกจ่ายงบกลางปีที่มีวงเงินลงทุนเพิ่มอีก 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งตอนนี้เบิกจ่ายไปได้แล้ว 26.2% และมีการทำงบผูกพันไว้แล้ว 39.3% คาดว่าสิ้นปีงบประมาณจะเบิกจ่ายได้ตามที่คาดไว้ประมาณ 60% ซึ่งถือว่าสูงเพราะงบกลางปีเพิ่งเริ่มใช้มาเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2560 ที่ผ่านมา ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2560 ล่าสุดเบิกจ่ายได้แล้ว 73.4% ซึ่งเป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้
“การขยายตัวเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 จะขยายตัวได้ดีกว่าขยายตัวไตรมาสแรกที่ขยายตัว 3.3% และเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังก็จะขยายตัวได้สูงกว่าครึ่งปีแรก ส่วนจะปรับประมาณการการขยายตัวเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ก็เป็นเรื่องที่มีโอกาสได้ทั้งนั้น”
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัวจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนขยายตัว 13.7% ส่วนมาตรการกระตุ้นเอกชนลงทุนนำรายจ่ายหักภาษีได้ 1.5 เท่า ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว รอประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยเชื่อว่าหากประกาศมีผลบังคับใช้แล้วจะทำให้เอกชนมาลงทุนเพิ่มขึ้น
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะมีมติ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ต่อเนื่องในการประชุมกนง. รอบที่สี่ของปี 2560 ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 นี้ และน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังผลของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดต่อเศรษฐกิจไทยมีจำกัด ขณะที่พัฒนาการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
ดร.สุทธิกร กิ่งแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาผู้บริหารทางธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทยในโอกาสครบรอบ 20 ปี “วิกฤติต้มยำกุ้งในวันที่ 2 กรฎาคม 2560 ว่า ปัจจุบันแม้ภาคอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มเกิดภาวะฟองสบู่บ้างจากปริมาณที่อยู่อาศัยรอการขายมากสวนทางกับความต้องการของประชาชนที่ลดลงโดยเฉพาะในแถบชานเมือง แต่ยังเชื่อว่าในระยะต่อไปภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จะเริ่มลดลงจากการชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ซึ่งทำให้จำนวนที่อยู่อาศัยรอการขายจะทยอยลดลงในอนาคต จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา
อย่าไรก็ตาม เป็นห่วงปัญหาการพัฒนาในหลายภาคส่วน ทั้งการวิจัยและพัฒนาของภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ภาคการเกษตรที่ยังขาดประสิทธิภาพในการผลิตและการสร้างมูลค่าเพิ่มระบบการศึกษาที่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประเทศได้ และระบบราชการที่ยังขาดประสิทธิภาพเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลทำให้ประเทศไทยเราย่ำอยู่กับที่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
โดยปัญหาเรื้อรังเหล่านี้คอยฉุดรั้งการพัฒนาของประเทศก่อให้เกิดวิกฤติต้มกบในปัจจุบัน ซึ่งสร้างผลกระทบกับประเทศแตกต่างจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ในอดีต โดยปัจจุบันประเทศเราสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งกว่าที่เราจะรู้ตัวอีกทีก็อาจสายเกินกว่าที่จะปรับตัวแล้ว เหมือนการต้มกบ