“โครงการเส้นทางสายเศรษฐกิจ” หรือ“วันเบลต์ วันโรด”...One Belt One Road (OBOR) คือความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
“จีน”...ได้เชิญผู้นำจาก 29 ชาติ รัฐมนตรีกว่า 100 คน ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศกว่า 80 องค์กร และนักธุรกิจระดับโลกเข้าร่วมกว่า 1,200 คนมาประชุมร่วมกัน เพื่อฉายภาพให้เห็นถึงเส้นทาง......การเชื่อมโยงการค้า การลงทุน การพัฒนาเศรษฐกิจ ความรุ่งเรืองของประเทศที่เส้นทางพาดผ่านทั้งทางบก ทางทะเล
“ประเทศไทย” อภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าและหาโอกาส ช่องทางที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
เส้นทางวันเบลต์วันโรด...เป็นความริเริ่มมาจากแนวคิดของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน โดยเป็นนโยบายการสร้างความเชื่อมโยงของจีนกับอีก 65 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมจำนวนประชากรราว 4,500 ล้านคน มีจีดีพีรวมกันกว่า 23 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
จีน...พยายามที่จะส่งเสริมความเชื่อมโยงทั้งทางบก โดยมีเส้นทางสายไหมทางเศรษฐกิจจำนวน 3 เส้นทาง และทางทะเล ซึ่งจะมีเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 อีก 2 เส้นทาง
ทั้งนี้ ตามเส้นทางสายไหม จีนได้ตั้งเป้าให้มีการเชื่อมโยงความร่วมมือในหลายด้าน อาทิ ความร่วมมือด้านนโยบาย การเสริมสร้างสมรรถนะ การอำนวยความสะดวกด้านการค้า...การลงทุน และความร่วมมือด้านการเงิน ซึ่งมีจีนเป็นจุดศูนย์กลาง
ฉายภาพ...เส้นทางทางบกจะเริ่มต้นจากจีนผ่านมองโกเลีย รัสเซีย ไปจนถึงยุโรป จากนั้นแยกเส้นทางผ่านเอเชียกลางเอเชียตะวันออก ตะวันออกกลาง ทะลุไปยุโรป และเส้นทางจากจีนผ่านอินโดจีน ทะลุไปยังเอเชียใต้
ส่วนเส้นทางทะเลจะเริ่มจากชายฝั่งของจีน ผ่านอาเซียน โอเชียเนีย แอฟริกาเหนือ แปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย ไล่ยาวไปจนถึงยุโรป
อภิรดี บอกว่า ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เปิดตัวโครงการนี้ได้อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นครั้งแรกที่มีผู้นำจากทุกประเทศบนเส้นทางมาประชุม...มีถึง 29 ประเทศ จาก 65 ประเทศที่เกี่ยวข้อง ได้แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการที่จะเป็นรูปธรรม ทั้งการเชื่อมทางรถไฟ การเชื่อมทางถนน การเดินเรือ รวมถึงสิ่งที่จีนจะช่วยดำเนินการในประเทศต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางเข้าด้วยกัน
“ตอนนี้จีนเริ่มเข้าไปช่วยเหลือประเทศต่างๆในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค อย่างที่ศรีลังกา ไปช่วยสร้างท่าเรือ ไปช่วยปากีสถานสร้างถนน หรืออย่างในตะวันออกกลาง ก็มีการสำรวจเส้นทาง ใช้เส้นทางในอดีตที่เคยเป็นเส้นทางค้าขาย หรือเส้นทางจากจีนไปรัสเซีย ไปยุโรป ก็เป็นเส้นทางเดิม เป็นเส้นทางสายไหมตั้งแต่ในอดีตอยู่แล้ว ก็ปรับปรุง พัฒนาได้ไม่ยาก”
ในส่วนของเส้นทางที่เชื่อมโยงผ่านไทย จีนใช้นโยบาย “อินโดไชน่า” เป็นเส้นทางที่ผ่านจากจีนเข้ามายังประเทศในกลุ่มอินโดจีน มีหลายประเทศในอาเซียนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย หรือที่เรียกกันว่า “กลุ่ม CLMVT” และยังต่อเนื่องไปยังประเทศในอาเซียนทั้งหมด ทั้งทางบก...ทางทะเล
“ถ้าถามว่า ไทยจะได้ประโยชน์จากเส้นทางนี้ยังไง ตอบได้เลยว่า ไทยได้แน่นอน เพราะไทยเป็นศูนย์กลางในอาเซียน ทุกวันนี้จีนมองไทยเป็นศูนย์กลางอยู่แล้ว ซึ่งไทยต้องแสดงให้จีนเห็นว่าไทยมีความพร้อม
ทั้งแนวเส้นทางที่ไทยมีเส้นทางเศรษฐกิจอีสต์-เวสต์ คอริดอร์ ที่เชื่อมตะวันออกกับตะวันตกจากเวียดนามไปเมียนมา ทะลุไปยังอินเดียได้ และยังเป็นศูนย์กลางในการลงทุน ที่ขณะนี้รัฐบาลกำลังผลักดันเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่จะใช้ในการดึงดูดการลงทุน”
เมื่อเข้ามา “ลงทุน” แล้ว ก็สามารถใช้ “จุดแข็ง” ของไทยในการเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าออกไปได้ทั่วโลก เพราะไทยมีทั้งท่าเรือน้ำลึก มีสนามบินอู่ตะเภา ที่กำลังพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
อภิรดี ย้ำว่า การขับเคลื่อนแนวคิดวันเบลต์วันโรดของจีน สอดคล้องกับการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย ในด้านนโยบายไทยและจีนต่างให้ความสำคัญกับการยกระดับภาคการผลิต เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม...เทคโนโลยี กล่าวคือ...นโยบาย Made in China 2025 กับนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรม S–Curves ของไทย กำลังเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน
ความเชื่อมโยงด้านการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ โครงข่ายรถไฟ...รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ สนามบิน จะช่วยอำนวยความสะดวก ลดต้นทุนการขนส่ง ช่วยสร้างโอกาสทางการค้า ...การลงทุนสำหรับพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญ
ความเชื่อมโยงด้านข้อมูลและดิจิทัล เน้นการใช้ประโยชน์จากการบริหารจัดการข้อมูลต่างๆด้วยระบบดิจิทัลและอินเตอร์เน็ต รองรับการค้าสมัยใหม่ผ่านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์...ระบบชำระเงินดิจิทัล
นับรวมไปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง...ยั่งยืน โดยไทยและจีนต่างให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของธุรกิจขนาดกลาง...ขนาดย่อม และธุรกิจสตาร์ตอัพ เพื่อให้ประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจมีการแบ่งปันอย่างทั่วถึง สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจชุมชน
ประเด็นสำคัญมีว่า “ภาครัฐ” ต้องสร้างบรรยากาศที่เอื้อกับการประกอบธุรกิจและการใช้ประโยชน์จากช่องทางการค้าใหม่ๆ อาทิ อีคอมเมิร์ซ เป็นต้น
สำหรับความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน อภิรดี มองว่า ไทยและจีนมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ตลอดจนการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะช่วยให้ประชาชนมีความเข้าใจ และเป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
ถึงตรงนี้หลายคนอาจมีคำถาม...การที่จีนผลักดันโครงการวันเบลต์วันโรด จีนหวังประโยชน์หรือเปล่า? มากน้อยอย่างไร?
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยมองว่า “ใช่...แต่จีนได้ ไทยก็ได้...ทุกประเทศได้หมดเพียงแต่ว่า แต่ละประเทศจะไปคว้าโอกาสที่มีอยู่นั้นได้ยังไง เพราะตามแนวเส้นทาง ไม่ใช่แค่ทำการค้าขายกับจีน แต่ยังสามารถค้าขายกับประเทศที่อยู่ตามแนวเส้นทางได้ทั้งหมด หากจับจุดได้ ก็มีแต่ได้กับได้ ส่วนจะได้มากได้น้อย ก็อยู่ที่ว่าจะวางบทบาทตัวเอง ผลักดันตัวเองให้เข้าไปเชื่อมโยงได้อย่างไร”
ยืนยันว่า รัฐบาลชุดนี้และการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ยุคนี้ มองประโยชน์ของไทยเป็นที่ตั้งกำลังมุ่งที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง เพื่อเชื่อมโยงเราเข้ากับเวทีโลก เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเส้นทางสายไหม “วันเบลต์วันโรด” ให้ได้มากที่สุด
ประเมินโอกาสในด้านต่างๆ...ในแต่ละเส้นทางเมื่อเกิดเมืองใหม่ ตลาดใหม่จะเข้าไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร หรือในด้านการลงทุน จะทำอย่างไรที่จะทำให้นักลงทุนมองเห็นศักยภาพในการเข้ามาลงทุนในไทย...ในฐานะการเป็นศูนย์กลาง สามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางสายไหมได้ โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนในอีอีซี
“แนวคิดวันเบลต์วันโรดของจีนสอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการ แน่นอนว่า...จะเป็นโอกาสของไทยไม่แพ้จีนที่มองเห็นโอกาสจากโครงการนี้” อภิรดี ตันตราภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย.