“คลัง” เล็งยืดสัญญาเช่าที่ดิน 50 ปี ดึงดูดต่างชาติเข้าลงทุน รวมทั้งผู้ประกอบการไทยก็ได้ประโยชน์ในการวางแผนการลงทุน ซึ่งสิทธิ์การเช่านี้ ยังสามารถขายสิทธิ์การเช่าได้ ทำให้มีการหมุนเวียนเงินที่มีความต้องการมาจากทั่วโลก
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีแนวคิดที่จะแก้ไขกฎหมายลีสโฮลด์ (Leasehold) หรือสิทธิในการเช่าที่ดิน จากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 30 ปี อาจขยายยาวขึ้นเป็น 50 ปี เพื่อจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน รวมทั้งผู้ประกอบการไทยก็ได้ประโยชน์ในการวางแผนการลงทุน ซึ่งสิทธิ์การเช่านี้ยังสามารถขายสิทธิ์การเช่าได้ ทำให้มีการหมุนเวียนเงินที่มีความต้องการมาจากทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ผู้เช่าจะไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินในฐานะเจ้าของ ซึ่งในที่สุดสิทธิ์การครอบครองที่ดินยังคงเป็นของคนไทย โดยขณะนี้กำลังเร่งศึกษาข้อดีข้อเสีย และจำนวนปีที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดจัดเก็บภาษีทรัพย์สินในทำเลที่ได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ หรือ “บิล ฟอร์แท็กซ์” โดยพิจารณาจากความแตกต่างราคาทรัพย์สินก่อนสร้างโครงการ กับหลังสร้างโครงการ จะเก็บภาษีจากส่วนที่เพิ่มขึ้น
เมื่อมีการซื้อขายเปลี่ยนมือ ซึ่งจะมีความเป็นธรรมมากกว่า โดยแนวคิดทั้งหมดจะทำให้รัฐบาลได้ประโยชน์จากการจัดเก็บรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นด้วย และนำเงินภาษีส่วนนี้มาหมุนใช้ลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานต่อไป
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีให้มากขึ้น และให้มีความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ โดยล่าสุด ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ได้ผ่านการพิจารณา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และเตรียมเสนอสภานิติบัญญัติ (สนช.) พิจารณา โดยได้มีการปรับปรุงแก้ไขในบางประการให้มีความเหมาะสมมากขึ้น
สำหรับอัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กรณีใช้เพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรมให้จัดเก็บภาษีได้ในอัตราเพดานไม่เกิน 0.2% โดยหากมูลค่าทรัพย์สินต่ำกว่า 50 ล้านบาท ได้รับการยกเว้น, ตั้งแต่ 50-100 ล้านบาท เสียอัตรา 0.05% และตั้งแต่ 100 ล้านบาท เสียอัตรา 0.10%
ส่วนกรณีใช้เพื่อเป็นที่พักอาศัย ให้จัดเก็บภาษีได้ในอัตราเพดานไม่เกิน 0.5% โดยที่พักอาศัยหลักไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นส่วนที่เกิน 50-100 ล้านบาท เสียอัตรา 0.05%, ตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป เสียอัตรา 0.10% ขณะที่ที่พักอาศัยหลังอื่น หรือบ้านหลังที่สอง มูลค่าต่ำกว่า 50 ล้านบาท เสียอัตรา 0.3% เป็นลำดับขั้นบันได จนสูงสุด 0.3% ตามมูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป
ด้านใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น พาณิชยกรรมอุตสาหกรรม ให้จัดเก็บภาษีได้ในอัตราเพดานไม่เกิน 2% โดยมูลค่าทรัพย์สินต่ำกว่า 20 ล้านบาท เสียอัตรา 0.3%, 20-50 ล้านบาท เสียอัตรา 0.5% ไปจนถึงสูงสุด 3,000 ล้านบาทขึ้นไป เสียอัตรา 1.5%
ขณะที่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า หรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ กำหนดอัตราภาษีสูงสุดในกฎหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. เรียกเก็บภาษี สำหรับที่ดินดังกล่าวในอัตราเพดานไม่เกิน 2% ของฐานภาษี แต่จะมีการปรับเพิ่ม 0.5% ในทุก 3 ปี แต่สูงสุดต้องไม่เกิน 5%