นายฮิโรโตชิ อิโตะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส (ภูมิภาคเอเชีย) องค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เปิดเผยว่า เจโทรได้สำรวจความคิดเห็นบริษัทญี่ปุ่นที่ประกอบธุรกิจใน 20 ประเทศสำคัญในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย รวมถึงไทยระหว่างวันที่ 11 ต.ค.-11 พ.ย.59 ครอบคลุมบริษัทขนาดใหญ่และขนาดย่อม ทั้งในภาคการผลิต และนอกภาคการผลิตรวม 4,642 บริษัท จากจำนวนบริษัทที่ส่งแบบสำรวจ 10,983 บริษัท ส่วนในไทย มีบริษัทที่ตอบกลับแบบสำรวจ 695 บริษัท จากจำนวน 2,176 บริษัท
โดยบริษัทญี่ปุ่นในไทย คาดการณ์ว่า ปี 60 จะมีผลกำไรเพิ่มขึ้นมีผู้ตอบ 45.3%, อีก 44.4% ระบุไม่เปลี่ยนแปลง และอีก 10.3% ระบุลดลง โดยธุรกิจที่มีผลกำไรเพิ่มขึ้น เช่น ยางและเครื่องหนัง เคมีภัณฑ์และเภสัชกรรม เครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และส่วนประกอบ เหล็ก เครื่องนุ่งห่ม การเงินและการประกันภัย ค้าส่ง-ค้าปลีก ขนส่ง ก่อสร้าง เป็นต้น ส่วนบริษัทที่ลงทุนในอาเซียน ระบุจะมีกำไรเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะยอดขายเพิ่มขึ้น และประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น โดยอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และส่วนประกอบที่ลงทุนในไทยมีผลกำไรมากที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน แต่ธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก ที่ลงทุนในสิงคโปร์มีผลกำไรมากที่สุด ส่วนไทยเป็นอันดับ 2
ขณะที่เมื่อถามถึงแผนธุรกิจในอนาคตในประเทศไทย หรือใน 1-2 ปีข้างหน้า ผู้ตอบ 50.1% ระบุจะขยายการลงทุนเพิ่ม 47.1% ระบุไม่เปลี่ยนแปลง และอีก 2.7% ระบุจะย้ายฐานและถอนการผลิตจากประเทศไทย โดยบริษัทที่จะขยายการลงทุนเพิ่ม คือ อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และเภสัชกรรม ตามด้วยค้าปลีก-ค้าส่ง โดยเหตุผลที่จะขยายการลงทุนในไทยเพิ่ม เพราะยอดขายเพิ่มขึ้น ธุรกิจมีศักยภาพเติบโตได้ในระดับสูง และรัฐบาลไทยส่งเสริมการลงทุน อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบบริษัทที่จะขยายการลงทุนในไทย และประเทศอื่นๆ ในอาเซียน พบว่า บริษัทญี่ปุ่นในเมียนมา ขยายการลงทุนมากที่สุดถึง 79.7% ตามด้วยกัมพูชา 72.5% เวียดนาม 66.6% ฟิลิปปินส์ 54.4% อินโดนีเซีย 51.6% ขณะที่สิงคโปร์ ลาว และมาเลเซีย มีแผนขยายการลงทุนน้อยกว่าไทยที่ 49.0%, 44.4% และ 44.1% ตามลำดับ “อุปสรรคในการทำธุรกิจในประเทศไทย 59.3% ระบุค่าแรงงานสูง, 59% ระบุความยากในการควบคุมคุณภาพ”.