นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือ กกร.เปิดเผยว่า ภาคเอกชนติดตามผลจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่มีต่อเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด รวมทั้งผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือ เฟด ในช่วงวันที่ 14-15มีนาคมนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนค่าเงินบาทที่ขณะนี้ แม้จะแข็งค่าขึ้น แต่ยังเป็นอัตราที่ผู้ส่งออกยอมรับได้
นอกจากนี้ภาคเอกชนมีความกังวลผลการเลือกตั้งของหลายประเทศในยูโรโซน ซึ่งตัวเต็งผู้สมัครรับเลือกตั้งหลายประเทศชูนโยบายออกจากยูโรโซนในการหาเสียง ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงินยูโรและไทยจะได้รับผลกระทบไปด้วย
อย่างไรก็ตาม กกร. คาดการณ์ GDP ไทยปี 2560 ขยายตัวในกรอบ 3.5-4% การส่งออกขยายตัวในกรอบ1-3 % และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบ 1-2% โดยที่ประชุมมองว่า แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทยยังอยู่ที่การฟื้นตัวของภาคส่งออก การใช้จ่ายภาครัฐ และการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ดีต้องติดตามผลผลิตทางการเกษตร เนื่องจากมีผลต่อรายได้เกษตรกรจะปรับตัวดีขึ้น และมีผลต่อการใช้จ่ายในภูมิภาค แต่หากปริมาณผลผลิตทางการเกษตรไม่ดี จะมีผลต่อกำลังซื้อ ส่วนปัจจัยค่าเงินที่ผันผวน ขณะนี้ยังไม่มีการร้องเรียนจากผู้ส่งออก ซึ่งเห็นว่าผู้ส่งออกยังรับได้โดยที่ประชุมเองก็จะติดตามและหารือประเด็นนี้ต่อไป
ด้านนายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ในช่วงนี้ นักลงทุนสามารถเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มการเติบโตดีและราคายังถูกกว่าปัจจัยพื้นฐาน โดยไม่ต้องรอการประชุมเฟด เนื่องจากตลาดส่วนใหญ่รับรู้และคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว
หุ้นที่น่าสนใจ คือ กลุ่มยานยนต์ โรงพยาบาล อุปโภคบริโภคและท่องเที่ยว ขณะที่กลุ่มพลังงาน แบงก์และอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ดีนัก แต่อาจเลือกเป็นรายบริษัท ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ในปีนี้ต้องเน้นเลือกหุ้นรายตัว เนื่องจากตลาดหุ้นขึ้นมากในปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนราคาต่อกำไร(พี/อี)หุ้นในพอร์ตที่กองทุนอเบอร์ดีนลงทุนอยู่ที่ 15 เท่า ขณะที่การเติบโตของกำไรปีนี้ 7% อย่างไรก็ตามกลุ่มอเบอร์ดีนยังให้น้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทยมากกว่าตลาด
นางสุภาพร ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมีการส่งสัญญาณมาต่อเนื่องตลาดรับรู้แล้วและหากจะขึ้นดอกเบี้ยจริงก็ไม่น่าส่งผลกระทบต่อตลาดและคาดว่าจะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในเดือนกันยายนและธันวาคม
“หุ้นไทยยังมีอัพไซด์น่าจะไปได้ถึง 1,700 จุด พี/อี 16เท่า ราคานี้จึงยังลงทุนได้ เพราะปัจจัยพื้นฐานไทยไม่เปลี่ยน คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต10% การปรับฐานจึงเป็นโอกาสซื้อ” นางสุภาพร กล่าว
ปัจจุบันหุ้นไทยพี/อีต่ำกว่าหุ้นในกลุ่ม TIP อยู่ที่ 15.3 เท่า ขณะที่หุ้นอินโดนีเซีย 16.4 เท่าและฟิลิปปินส์ 17.3 เท่าและคาดการณ์เงินปันผลของไทยยังสูงสุด
ด้านตลาดหุ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ดัชนีหุ้น ปิดที่ 1,559.56 จุด เพิ่มขึ้น 1.1% จากสิ้นปี 2559 ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2560 เช่นเดียวกับในปี 2559
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,242 วันที่ 9 – 11 มีนาคม พ.ศ. 2560