นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.)และรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) คาดว่าตัวเลขส่งออกเดือนมกราคม 2560 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ เตรียมประกาศสัปดาห์นี้จะออกมาเป็นบวก มีอัตราการขยายตัวมากกว่า 10% แน่นอน เนื่องจากมีหลายสินค้าที่ขยายตัวดี อาทิ สินค้าเกษตรที่ราคาตลาดโลกปรับขึ้นมาก ทั้งน้ำตาลที่ส่งออกขยายตัวมากกว่า 20% ยางพาราขยายตัวมากกว่า 8% และอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปที่ขยายตัวทั้งไก่ กุ้ง ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์พบว่า ตัวเลขส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปแม้จะไม่ดีนักเพราะลดถึง 14% แต่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ยังมีการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ที่คิดเป็น 60% ของทั้งกลุ่ม เมื่อพิจารณาตัวเลขเฉลี่ยแล้วการส่งออกยังขยายตัวเป็นบวกอยู่
“แม้ตัวเลขเดือนมกราคมจะเป็นบวก แต่อย่าเพิ่งดีใจ เพราะต้องเข้าใจว่าเดือนมกราคมของปี 2559 ตัวเลขส่งออกติดลบค่อนข้างมาก มูลค่าประมาณ 15,711 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น เป็นฐานต่ำเมื่อเทียบกับปีนี้จึงขยายตัวสูง”
นายวัลลภกล่าวว่า สำหรับนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ ทำยอดส่งออกปีนี้ให้ถึง 5% นั้น ถือเป็นความท้าทาย เพราะถ้าตั้งน้อยก็ไม่มีแรงส่งให้ทำอยากส่งออกสูงได้ ด้านเอกชนปัจจุบันยังมองว่าการส่งออกจะขยายตัวน่าจะขยายตัวได้ประมาณ 2-3% ส่วนเป้าหมายของเอกชนจะขยายตัวได้มากกว่านี้หรือไม่ต้องขอดูตัวเลขส่งออกของไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม 2560) ปีนี้ก่อน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า เอกชนจะปรับเพิ่มตัวเลขส่งออกปีนี้ตามตัวเลขของนายสมคิดที่ 5% หรือไม่ ขอพิจารณายอดส่งออกไตรมาสแรกของปีนี้ก่อน หากขยายตัวดี แนวโน้มเศรษฐกิจโลกดี ผลการทำงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ครบ 100 วัน และยอดคำสั่งซื้อของลูกค้าที่ค่อนข้างชัดเจนในช่วงไตรมาสสอง (เมษายน-มิถุนายน 2560) ก็มีโอกาสจะปรับประมาณการตัวเลขส่งออกปีนี้เป็น 3.5-4% ส่วนจะถึง 5% หรือไม่ ต้องรอการส่งออกผ่านครึ่งปีแรกก่อน
ทั้งนี้ปี 2560 มีแนวโน้มสูงที่เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวถึง 3.4% ตามที่ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ หากเป็นเช่นนั้นจะทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ดีแน่นอน เพราะรายได้จากการส่งออกของไทยยังมาจากการส่งออกถึง 70% แต่อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามนโยบายเศรษฐกิจของผู้นำสหรัฐอีกครั้งที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศสำคัญ อาทิ จีน ญี่ปุ่น เพราะส่งออกไปจีนมาก ขณะที่ไทยเองต้องเร่งหาตลาดใหม่ และต้องเร่งเจรจาการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับหลายประเทศที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว