"แบงก์ชาติ" ชี้เศรษฐกิจ ธ.ค. โตกระจายตัวมากขึ้น โดยส่งออกขยายตัว 5.6% หนุนทั้งปีโต 0% ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เชื่อหนุนเศรษฐกิจปีนี้โตต่อเนื่อง
นางสาวพรเพ็ญ สดศรีชัย ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเดือน ธ.ค. มีลักษณะการเติบโตที่กระจายตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี และน่าจะเป็นแรงส่งทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2560 ขยายตัวได้ดีด้วย เพียงแต่ยังมีบางภาคเศรษฐกิจที่ต้องติดตามว่า การขยายตัวดังกล่าวมีความยั่งยืนหรือไม่ เช่น ภาคการส่งออก และการท่องเที่ยว
สำหรับการส่งออกเดือน ธ.ค. ฟื้นตัวชัดเจนขึ้นโดยขยายตัว 5.6% และทำให้ภาพรวมทั้งปี 2559 ขยายตัวที่ 0% ซึ่งดีกว่าที่ ธปท. คาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัว 0.6% โดยการส่งออกที่ฟื้นตัวดีขึ้นมาจาก 3 ปัจจัยหลัก
ปัจจัยแรก คือ ความต้องการซื้อจากต่างประเทศดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ และแผงโซล่าเซลล์ รวมทั้งชิ้นส่วนไอซีที่ใช้ประกอบสมาร์ทโฟน ขยายตัวดี
ส่วนปัจจัยที่สอง จากความต้องการซื้อชั่วคราวที่เร่งตัวขึ้น เช่น ยางพารา และผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งจีนนำเข้าจากไทยจำนวนมาก เพื่อนำไปผลิตและส่งไปขายยังสหรัฐ ก่อนที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่จะมีมาตรการกีดกันการค้าออกมา ขณะเดียวกันยังมีการเร่งส่งออกสินค้าหลายตัวก่อนช่วงเทศกาลตรุษจีน
สำหรับปัจจัยสุดท้าย คือ ราคาสินค้าส่งออกเพิ่มตามราคาน้ำมันดิบ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกปรับตัวดีขึ้น และการส่งออกที่เพิ่มขึ้นนี้ บวกกับการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2559 เกินดุลถึง 4.64 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็น 11.6% ของจีดีพี ซึ่งเป็นการเกินดุลมากสุดเป็นประวัติศาสตร์
สัญญาณลงทุนเอกชนเริ่มฟื้น
สำหรับการลงทุนภาคเอกชน เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น เพียงแต่โดยรวมยังคงกระจุกตัวในบางกลุ่มอุตสาหกรรมเท่านั้น ขณะที่การลงทุนในส่วนของภาคการผลิต ส่วนใหญ่ยังเป็นการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตมากกว่าที่จะเป็นการขยายกำลังการผลิต ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะกำลังผลิตยังเหลืออยู่บ้าง
“ที่ผ่านมาเราได้ลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ประกอบการ ซึ่งความเห็นหลักๆ เราได้รับ พบว่า ภาคเอกชนมีบางกลุ่มเห็นพ้องกันที่ต้องลงทุนเพิ่ม เช่น กลุ่มพลังงานทดแทน ภาคบริการ หรือ โรงพยาบาล เป็นกลุ่มที่เราเห็นการลงทุน ส่วนการผลิตเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่า แต่การลงทุนใหม่ยังมีจำกัด ไม่กระจายมากนักและมีมูลค่าที่ไม่ได้สูงมาก แต่ทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี”
สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 ธปท. ยังคาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ 3.2% โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เดือน มี.ค. จะเป็นรอบที่มีการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจใหม่ เพียงแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะปรับขึ้นหรือไม่ เพราะต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุม แต่ถ้าดูจากหน่วยงานอื่นๆ จะเห็นว่าหลายแห่งเริ่มปรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้เพิ่มขึ้น
สรท. คาดปี 60 ส่งออกโต 2%
ด้านนายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่าส่งออกในปี 2560 มองว่าน่าจะขยายได้ในระดับ 2% โดยคาดว่าในไตรมาส 1 จะเติบโต 1%ไตรมาส 2 โต 2%ไตรมาส 3 โต 3%และในไตรมาส 4 โต 2%
ตลาดสหรัฐจะมีผลต่อการส่งออกมากที่สุด เติบโตประมาณ 3.5%ตลาดอาเซียนโต 3.5%ตลาดญี่ปุ่นโต 2-2.5%ตลาดสหภาพยุโรป โต 0% ส่วนตลาดจีนที่เป็นผู้นำเข้าอันดับ 1 ของไทยจะลดลง 2-3% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการกีดกันการค้าจากสหรัฐ และปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ
“แม้ว่าในปีนี้ภาพรวมการส่งออกจะดี แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมาก หากเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบจากสหรัฐน้อย การส่งออกของไทยก็อาจจะโตได้ 3-5% แต่ถ้าสหรัฐขยายความขัดแย้งกับรัสเซีย และจีน การส่งออกของไทยก็จะต่ำกว่า 2% โดยเฉพาะหากเกิดความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ก็จะกระทบอย่างรุนแรง”
ทั้งนี้ มองว่า หลังจากที่สหรัฐเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้ายกเลิก ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) ประเทศจีนน่าจะผลักดัน ความตกลงการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (เอฟทีเอ เอพี) คาดว่า จีนไม่น่าจะผลักดันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซป) เพราะว่าในกรอบนี้มีประเทศอินเดียที่อยู่คนละขั้วกับจีน
ส่วนกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ก็ควรจะปรับบทบาทหันมาเจรจาในกรอบทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศให้มากขึ้น จากเดิมที่เน้นเจรจาในกลุ่มใหญ่ รวมทั้งการเจรจาจะต้องรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกร เอสเอ็มอี และผลประโยชน์โดยรวมของชาติเป็นหลัก เพราะในขณะนี้แต่ละประเทศต่างมุ่งที่จะรักษาผลประโยชน์ของตัวเองหากตามไม่ทันประเทศชาติก็จะเสียหาย
หอการค้าชี้อาเซียนฐานหลักส่งออก
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ภาพรวมส่งออกในตลาดอาเซียนปีที่ผ่านมา หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ยังพบว่าเป็นตลาดหลักสำคัญขยายต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรพบว่ามูลค่าส่งออกหลังเข้าสู่เออีซีเพิ่มขึ้นถึง 3.21 แสนล้านบาท ขยายตัว 10.4% และคาดการณ์ว่าในปี 2560 จะยังขยายตัว 5-6% จากปัจจัยเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียนที่โตสูงสุดในโลกเฉลี่ยปีละ 7-8% และยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องไปอีก 5 ปีข้างหน้า
สินค้าสำคัญที่ไทยยังมีโอกาส ประกอบไปด้วย สินค้า 11 รายการ เช่น ข้าวสาร ยางพารา ข้าวโพด ถั่วเหลือง กาแฟ มันสำปะหลัง
“การส่งออกในตลาดอาเซียนปีนี้ยังคงเป็นตลาดสำคัญที่มีโอกาสสูงสำหรับไทย แต่เมื่อประเมินไปยังส่วนแบ่งการตลาดที่ไทยเคยได้ประโยชน์ในตลาดอาเซียน พบว่าปีนี้ ไทยจะเริ่มเสียผลประโยชน์มากขึ้นอย่างน้อย 10% กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีจะได้รับประโยชน์แทน เนื่องจากเป็นฐานการผลิตของโลก อีกทั้งอยู่ใกล้กับจีน และไทย ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวด้วยการใช้โอกาสเข้าไปตั้งฐานการผลิตในกลุ่มประเทศเหล่านี้เพื่อขยายสินค้าเข้าไปยังจีนที่เป็นตลาดใหญ่ได้มากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งปรับตัว รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐต้องเข้ามาส่งเสริม พัฒนาคุณภาพสินค้า และศักยภาพผู้ส่งออกให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น”
สำหรับภาพรวมส่งออกสินค้าในอาเซียน พบว่าไทยได้ประโยชน์เป็นมูลค่าอยู่ที่ 7,416 ล้านบาท แต่เฉพาะในตลาดซีแอลเอ็มวี ซึ่งสินค้าที่ได้รับประโยชน์ คือ ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ข้าวโพด ถั่วเหลือง มันสำปะหลัง มะพร้าว มะม่วง กล้วย เนื้อสัตว์แปรรูป และอาหารทะเลแปรรูป ด้วยมูลค่า 1,181 ล้านบาท ขณะที่สินค้าเสียประโยชน์ คือ ข้าวสารทุกประเภท ข้าวเหนียว ยางพารา กาแฟ และมันสำปะหลัง รวมมูลค่า 131 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยได้รับประโยชน์รวมเพียง 1,050 ล้านบาทหลังเปิดอาเซียนตลอด 1 ปีที่ผ่านมา