นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งและมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งสามารถรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจต่างๆ ได้ อีกทั้งการดำเนินนโยบายการคลังและการเงินจากภาครัฐที่ยังคงมีความต่อเนื่องจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจในระยะต่อไปขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ รายได้เกษตรกร และดัชนีความเชื่อมั่นต่างๆ ของผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งพร้อมรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ ภาพรวมเศรษฐกิจมีเสถียรภาพสูงทั้งภายในและภายนอก โดยเห็นได้จากอัตราเงินเฟ้อและอัตราว่างงานที่ต่ำ
อีกทั้งระบบการเงินและสถาบันการเงินก็มีเสถียรภาพและมั่นคง ขณะที่ภาคการคลังมีระดับหนี้สาธารณะอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ 60% ของ GDP อยู่มาก นอกจากนี้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายนอกก็มีความมั่นคงจากทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง
นายสมชัย กล่าวว่า สำหรับการดำเนินนโยบายการคลังและการเงินยังคงมีความต่อเนื่องมุ่งสู่ประเทศไทย 4.0 โดยเน้นมาตรการที่ดูแลทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับฐานรากไปจนถึง super cluster ขนาดใหญ่ เช่น การสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ธุรกิจ Startup การส่งเสริมการลงทุนจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ การส่งเสริมนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนา การส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย การพัฒนาสู่เศรษฐกิจดิจิตอล และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญในมิติอื่นๆ ได้แก่ การลดความเหลื่อมล้ำ การดูแลสิ่งแวดล้อม และการบริหารงานอย่างมีธรรมาภิบาลอีกด้วย ทั้งนี้ในปัจจุบันมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานและมีเงินที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรการสนับสนุนการเบิกจ่ายของภาครัฐในไตรมาสที่ 4 ปี 59 โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือแก่เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น
อย่างไรก็ตามกระทรวงการคลังมั่นใจว่าแรงส่งทางเศรษฐกิจในระยะที่ผ่านมาจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป อีกทั้งปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่นพร้อมรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายการคลังที่มีความต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีกระทรวงการคลังจะติดตามภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการการคลังการเงินเพิ่มเติมหากมีความจำเป็น
น.ส.บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า เดือน ต.ค.นี้ คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวได้อนุญาตให้คนต่างชาติ 17 รายประกอบธุรกิจในไทย ส่วนใหญ่เป็นคนต่างด้าวจากญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีการนำเงินเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจกว่า 193 ล้านบาท และส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนไทยเพิ่มอีก 98 คน รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ๆ และองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุน
ส่วนใหญ่เป็นการให้ประกอบธุรกิจให้แก่บริษัทในเครือ 5 ราย มีเงินลงทุน 87 ล้านบาท ได้แก่ บริการทางบัญชี บริการทางกฎหมาย บริการให้กู้ยืมเงิน บริการให้ใช้พื้นที่ สนามทดสอบสมรรถนะรถยนต์ และบริการบริหารจัดการและติดต่อประสานงานกับผู้ให้บริการด้านคลังสินค้า โดยเป็นคนต่างด้าวจากประเทศญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และลาว
ทั้งนี้ การอนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจในไทยช่วง 10 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.) ได้มีการอนุญาตรวม 289 ราย ลดลง 14% มีเงินลงทุน 5,977 ล้านบาท ลดลง 54%