หลังจากเดินสายเยี่ยมชมและมอบนโยบายให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก่อนหน้านี้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้ ตลท.สนับสนุนธุรกิจสตาร์ตอัพ หรือธุรกิจเกิดใหม่ ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้ก.ล.ต.เพิ่มบทบาทด้านการพัฒนาตลาดทุน 3 เรื่อง พร้อมทั้งให้ทำแผนงานเสนอกลับมาภายใน 3 เดือน หนึ่งในนั้น มีเรื่องการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ตอัพด้วย โดยมีรายละเอียดคือ
ข้อแรก ทำอย่างไรให้ตลาดทุนเป็นแหล่งระดมทุน เพื่อตอบสนองกับอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ประเทศกำลังส่งเสริม เนื่องจากปัจจุบันมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม(มาร์เก็ตแคป) ของตลาดหุ้นไทยมาจากอุตสาหกรรมเพียงไม่กี่กลุ่ม อีกทั้งไม่ได้มาจากอุตสาหกรรมใหม่ที่ประเทศกำลังส่งเสริม ดังนั้นต้องการให้ ก.ล.ต.ทำงานเชิงรุกเพื่อออกไปพบหรือเชิญชวนอุตสาหกรรมเหล่านั้นเข้ามาระดมทุน เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของประเทศ
ข้อ 2. จากแนวโน้มข้างหน้าที่เน้นด้านนวัตกรรมที่ควรเป็นเชิงพาณิชย์ ดังนั้นการสร้างและพัฒนากลุ่มธุรกิจสตาร์ตอัพ หรือธุรกิจเกิดใหม่ ในหลายๆ อุตสาหกรรมให้เติบโตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งนอกจากมีกองทุนธุรกิจเงินร่วมลงทุน(VC) และกองทุนแองเจิ้ล ฟันด์ แล้ว ยังต้องพัฒนาตลาดขึ้นมาใหม่ เพื่อรองรับการเป็นแหล่งระดมทุนของธุรกิจสตาร์ตอัพ และเป็นตลาดรองสำหรับการซื้อขาย เพื่อรองรับนักลงทุนที่จะขายหุ้นออกหลังลงทุนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
รองนายกรัฐมนตรีให้เหตุผลที่ต้องมีตลาด เพื่อการระดมทุนสำหรับธุรกิจสตาร์ตอัพว่า เนื่องจากใน 2-3 ปีข้างหน้า จะมีธุรกิจสตาร์ตอัพใหม่ๆอีกเป็นจำนวนมาก ขณะที่ปัจจุบันเกณฑ์รับหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) ได้ยกระดับทุนจดทะเบียนขั้นต่ำขึ้นเป็น 50 ล้านบาทรวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ซึ่งมีทุนขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะรองรับธุรกิจสตาร์ตอัพได้
“บริษัทสตาร์ตอัพทุนน้อย และมีความเสี่ยงสูง สิ่งเหล่านี้จะต้องเตรียมหลายอย่างและสื่อสารกับผู้ที่จะเข้ามาในตลาดนี้ให้เข้าใจ”
อย่างไรก็ดีนายสมคิดกล่าวว่า หากมีกฎเกณฑ์เข้มข้นมากเกินไป บริษัทเหล่านี้จะเข้ามาระดมทุนไม่ได้เพราะอยู่ในช่วงฟอร์มตัวเอง แต่หากให้เขาเข้ามาก็จะมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ต้องมีการกำกับดูแลพอสมควรและความพอดีอยู่ตรงไหนนั้นเป็นฝีมือของ ก.ล.ต.และตลท.ว่าจะทำอย่างไร
ข้อ3. จากอนาคตข้างหน้าที่จะมีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรืออินฟราสตรักเจอร์ฟันด์ของกระทรวงการคลัง รวมถึงจะมีอินฟราสตักเจอร์ฟันด์ใหม่ๆ ในลักษณะดังกล่าว เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้น จึงต้องการให้ก.ล.ต.ช่วยดูแลจัดการอุปสรรคต่างๆ เพื่อสนับสนุนอินฟราสตักเจอร์ฟันด์ อีกทั้งยังหารือในเรื่องอื่นๆ ทั้งการดูด้านกฎเกณฑ์ของ ก.ล.ต. การพัฒนาด้านบุคคลากร การปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับแผนงานทั้งหมดที่จะทำ
นอกจากนี้ต้องการให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (ประกอบด้วยประเทศสปป.ลาว กัมพูชา เมียนมาและเวียดนาม) เพื่อดึงบริษัทของประเทศกลุ่มนี้มาใช้ประโยชน์จากตลาดทุนไทย ส่งผลให้สามารถขยายขนาดของตลาดทุนไทยและมีพลังมากขึ้น
“ฝากประเด็นนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน ก.ล.ต.ด้วย ประกอบกับเป็นช่วงที่ก.ล.ต.อยู่ระหว่างทำแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ อีกทั้งปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงเร็วทั้งด้านตลาดทุนโลกและเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆที่กำลังเข้ามา”
นายสมคิด กล่าวอีกว่า หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศขณะนี้ค่อนข้างมีความเป็นอิสระต่อกัน ดังนั้นจึงมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้คิดและพัฒนากลไกลบางอย่างขึ้นมา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดเงินและตลาดทุนทั้งหมดมีโอกาสได้พบปะหารือร่วมกัน เพื่อคิดในสิ่งใหม่เพื่อช่วยกันพัฒนาด้านการคลังของประเทศ รวมถึงรองรับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างปัจจุบันที่มีฟินเทคเกิดขึ้นและแพร่หลายจำนวนมากในโลกโดยให้นำมาประเมินว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุนของไทย และองค์กรที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมตั้งคณะทำงานหารือร่วมกันจัดทำยุทธศาสตร์เพื่อรองรับไปข้างหน้า
อนึ่งในช่วงบ่ายของวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการประชุมตัวแทนจากสภาธุรกิจตลาดทุน โดยนายสุรงค์ บูลกุล นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) กล่าวว่า ภายหลังจากที่ได้มีการหารือร่วมกับ ตลท. และก.ล.ต. แล้ว เรื่องการช่วยเหลือกลุ่มสตาร์ทอัพนั้น ยังไม่มีประเด็นเรื่องการตั้งกระดานซื้อขายหลักทรัพย์สำหรับธุรกิจดังกล่าว
นอกจากนี้ในที่ประชุมยังมีการหารือเรื่องการจะทำอย่างไร ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเงินทุน โดยปัจจุบันไทยยังมีข้อจำกัดที่ต้องใช้สกุลเงินบาทในการซื้อขาย ทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ โดยมีความมุ่งหวังที่จะเห็นการแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างตลาดทุนกับตลาดการค้า เพื่อไม่ให้เกิดข้ออ้างในการระบุว่าเงินบาทมีการแข็งค่า ทำให้ไม่สามารถขายสินค้าได้ ซึ่งจะได้ไม่เกิดการเชื่อมโยงกับเงินทุนไหลเข้าและไหลออก
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,198 วันที่ 6 – 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559