นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงาน CaF l : Positioning Thailand’s FinTech Ecosystem ว่า ธปท.พร้อมให้การสนับสนุนให้เกิดระบบฟินเทครายใหม่ๆ เกิดขึ้น โดยสิ่งที่อยากจะเห็นระบบฟินเทคนั้น คือ การลดต้นทุนระบบการชำระเงินของไทยให้ถูกลง มีช่องทางเข้าถึงระบบการชำระเงินที่สะดวก มีราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม และมีโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินที่เหมาะสม
"สิ่งที่ธปท.ดำเนินการ คือ พยายามผลักดันเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินโดยเฉพาะรายย่อยได้มากขึ้น รวมทั้งการเข้าถึงสินเชื่อด้านต่างๆ เพราะในปัจจุบันประชาชนไทย และธุรกิจยังมีปัญหาในการเข้าถึง ราคาที่เป็นธรรม จึงอยากเห็นฟินเทคเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และจะต้องไม่ซ้ำเติม หรือก่อหนีที่ไม่จำเป็น" นายวิรไท กล่าว
ทั้งนี้ ในปีนี้ พบว่า เป็นปีแรกที่สถาบันการเงินขออนุญาตปิดสาขามากกว่าเปิดสาขา ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงว่าสถาบันการเงินต้องการลดต้นทุน และนำเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับในปีนี้ที่ นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรร รมช.คลัง บอกว่าอัตราดอกเบี้ยระบบการเงินโลกจะอยู่ต่ำอีกนาน ส่งผลให้ผู้ออมแสวงหาผลิตภัณฑ์อื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ดังนั้นผู้ประกอบการจะมีการแข่งขันในการลดต้นทุนการให้บริการอื่นๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจดังกล่าว
"ความคาดหวังของธนาคารในเรื่องฟินเทค เราพร้อมสนับสนุนให้ฟินเทคเติบโตอย่างยั่งยืน และน่าเชื่อถือ ได้รับการยอมรับ มีระบบปลอดภัย หวังว่า ฟินเทคจะช่วยเติมเต็มช่องว่างการให้บริการทางการเงินของประเทศไทย ตรงความต้องการ ราคาถูกลง โดยเฉพาะกลุ่มรายย่อยที่ธนาคารขนาดใหญ่มองข้ามแต่ก็ต้องระวัง ไม่ให้ฟินเทคมาเพิ่มความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจจนเกิดปัญหาได้" นายวิรไท กล่าว
นายวิรไท กล่าวเพิ่มเติมว่า ธปท. อยู่ระหว่างศึกษาโมเดล Regulatory Sandbox เพื่อเป็นแนวทางในการกำกับดูแล ซึ่งเป็นที่นิยมใช้ของต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ เพื่อนำมาประยุคใช้ดูแลฟินเทคในไทย รวมถึงอยากขอให้ประธานชมรมฟินเทครับธปท.เป็นสมาชิก เพื่อร่วมเป็นสมาชิกในการส่งเสริมและสนับสนุนด้วย
จากกรณีที่ ดร.การดี เลียวไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการ C asean ได้เคยอธิบายรูปแบบของ Regulatory Sandbox ว่าเป็น ระบบทดสอบที่มีความปลอดภัย ที่เปิดกว้างให้ทดลองโมเดลการบริการและนวัตกรรมทางการเงินในระบบจริง ลูกค้าจริง โดยไม่จำเป็นต้องกังวลกับกฎระเบียบและการขอใบอนุญาตที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ระยะเวลาที่นวัตกรรมเข้าสู่ตลาดนั้นเร็วขึ้น ต้นทุนการดำเนินงานของสตาร์ทอัพก็ลดลง ดังนั้น ระบบนี้จึงเป็นประโยชน์มากกับบริษัทและสตาร์ทอัพที่ยังไม่มีใบอนุญาตในการให้บริการทางการเงิน
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ธปท.ยังอยู่ระหว่างพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน โดย ขณะนี้ร่างพ.ร.บ.ระบบการชำระเงิน ขณะนี้อยู่ระหว่างกฤษฎีกาพิจารณา ก่อนเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาได้เร็วๆนี้ เนื่องจากที่ผ่านมากฎหมายระบบการชำระเงินมีความลักหลั่นกัน เช่น พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ประกาศกระทรวงการคลัง ซึ่งมีช่องโหว่ค่อนข้างมาก จึงทำให้มาตรการกำกัลดูแลระบบการชำระเงินไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ยังจะพัฒนาธุรกรรมทางการเงิน อิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นแบบเควายซี หรือ know your costomer ที่เป็นมาตรฐานระดับโลก เพื่อให้เกิดการตรวจสอบการให้บริการทางการเงินได้กว้างขวางมากขึ้น การตรวจสอบตัวตนของผู้กระทำธุรกรรมทางการเงิน เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ธปท. อยู่ระหว่างผลักดันให้เกิดมาตรฐานกลางเกี่ยวกับระบบการชำระเงิน ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีระบบคิวอาร์โค้ด ซึ่งจะเร่งพัฒนาให้เกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปีนี้ นอกจากนี้ ธปท.ได้ดำเนินการแก้ไขเพื่อคลายเกณฑ์การจัดตั้งฟินเทค เพื่อเอื้อต่อผู้ประกอบการรายใหม่ๆ โดยจะได้รับความชัดเจนในไตรมาส 4 นี้เช่นกัน