ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ประเมินปี’59 ธุรกิจเอสเอ็มอีโต 2.5-2.7% โดยมีแรงหนุนจากนโยบายรัฐ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ขณะที่ผู้ประกอบการเริ่มปรับตัว หันทำธุรกิจเชิงรุกทำการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ ลดต้นทุน หาพันธมิตรเสริม พัฒนาสินค้า เพิ่มยอดขาย
นายเกียรติอนันท์ ล้วนแก้ว คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เปิดเผยว่า ในปีนี้ธุรกิจเอสเอ็มอีน่าจะขยายตัวประมาณ 2.5-2.7% ทั้งนี้อยู่บนสมมุติฐานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เติบโตที่ระดับ 3% โดยมีปัจจัยบวกจากการที่ภาครัฐมีนโยบายออกมาสนับสนุนและมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ส่วนภาคการส่งออกคาดว่าปีนี้จะติดลบประมาณ 2% ดีขึ้นจากปีก่อนที่ติดลบ 5.7% อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการเองจะต้องมีการพัฒนาทักษะ ความรู้ เจ้าของกิจการเอสเอ็มอี ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถก้าวต่อไปอย่างมั่นคง
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากการก่อการร้ายที่เริ่มขยับมาใกล้ภูมิภาคเอเชียมากขึ้นและผลกระทบจากการที่อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ส่งผลให้กลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรปลดลง อย่างไรก็ตาม ปีนี้ภาพรวมนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาไทยไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคน มากกว่าครึ่งมาจากเอเชียด้วยกัน ขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าน่าจะเริ่มเห็นการเดินหน้าและทำให้มีการใช้จ่ายงบประมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
ส่วนกำลังซื้อในประเทศถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ก้าวไปข้างหน้าขณะนี้ถือว่ามีแนวโน้มขยายตัวไม่มากนัก ประชาชนยังไม่กล้าใช้จ่าย กังวลในภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกปัจจัยสำคัญก็คือปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีภาวะสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผู้ประกอบการเริ่มปรับตัวให้เข้ากับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยการลดต้นทุนการผลิต การสร้างยอดขายซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังไม่แน่นอนขณะนี้
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ 427 ราย เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ของปี 2559 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 พบว่าสถานการณ์เอสเอ็มอีปรับตัวดีขึ้น โดยรายได้ไตรมาส 2/2559 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปีนี้คิดเป็น 10% โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจสุขภาพ และสินค้าเกษตรแปรรูป แต่ยังน่าห่วงโดยเฉพาะค้าปลีกขนาดเล็กและกลุ่มซื้อมาขายไปที่คาดว่าจะหายไปจากระบบปีนี้ประมาณ 5% เนื่องจากยังคงดำเนินธุรกิจแบบเดิมๆ ที่ยังไม่พัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มอีกทั้งราคาสินค้าเกษตรตลาดโลกที่ตกต่ำ อาจกระทบกับภาคเกษตรของไทย
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำธุรกิจในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2559 พบว่าปัจจัยสำคัญที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ 1) ความต้องการของตลาดที่ลดลง 2) ภาวะเศรษฐกิจของไทย 3) การขาดแคลนวัตถุดิบ 4) ต้นทุนวัตถุดิบ และ 5) การแข่งขันที่สูงขึ้น
สำหรับแนวทางการทำธุรกิจในไตรมาสที่ 3 ที่กลุ่มเอสเอ็มอีให้ความสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการขายและการทำตลาดเชิงรุก คิดเป็น 26.8% การลดต้นทุนในการทำธุรกิจ คิดเป็น 25.4% การทำตลาดโดยใช้สื่อออนไลน์ คิดเป็น 24.6% การแก้ปัญหาสภาพคล่อง คิดเป็น 12.3% การขยายตลาด คิดเป็น 8.4% และอีก 2.5% เป็นประเด็นอื่นๆ เช่น การหาพันธมิตรทางธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ เป็นต้น
นายเกียรติอนันต์ ให้ความเห็นว่าเอสเอ็มอีเริ่มเห็นสัญญาณบวกด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจบ้างแล้ว ทำให้บางส่วนเริ่มทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เอสเอ็มอียังขาดสภาพคล่องโดยมีสภาพคล่องเพียง 30 วันไม่สอดคล้องกับการทำธุรกิจ จากที่ควรมีสภาพคล่องเฉลี่ย 60 วัน ธุรกิจขนาดกลางมีเพียง 45 วัน และธุรกิจยังอยู่นอกระบบเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ได้รับความช่วยเหลือด้านต่างๆ จากภาครัฐไม่เต็มที่ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกธุรกิจเอสเอ็มอียังยิ้มได้ไม่เต็มที่