หอการค้าไทย คาด Brexit กระทบเศรษฐกิจไทย 50,000-70,000 ล้านบาท ส่งผลจีดีพีไทยโตลดลง 0.1% เหลือโต 2.9% คาดกระทบส่งออกหดตัว 2% เหตุจากยอดค้าขายทั่วโลกลดลง แนะรัฐเร่งอัดฉีด-ลงทุนกระตุ้นจีดีพี
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงกรณีที่อังกฤษ มีประชามติออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือ Brexit ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ว่า ทั่วโลกกำลังกังวลว่า Brexit จะเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ต่อเศรษฐกิจโลก สหภาพยุโรปจะแตกหรือไม่ เนื่องจากจะมีอีกหลายประเทศต้องการออกจากอียูตามอังกฤษ และต้องติดตามการเจรจาระหว่างอียูกับอังกฤษในช่วง 2 ปี ต่อจากนี้ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
โดยในระยะสั้นเศรษฐกิจอังกฤษจะโตลดลงประมาณ 1-2% เนื่องจากเศรษฐกิจอังกฤษพึ่งพายุโรปสูงมาก ทำให้ต้องมีการเจรจาการค้ากับประเทศต่างๆ ใหม่ทั้งหมด และจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของทั่วโลก ทำให้เศรษฐกิจโลก และการค้าโลกฟื้นตัวช้าลง ส่งผลกระทบทางอ้อมมายังการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้เติบโตลดลง 0.1 จากเดิมคาดการณ์ว่าโตประมาณ 3% เหลือประมาณ 2.9% หรือคิดเป็นมูลค่าผลกระทบจากกรณี Brexit ประมาณ 50,000-70,000 ล้านบาท โดยจะกระทบเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังเป็นหลัก ให้ขยายตัวลดลงประมาณ 0.3% จากเดิมขยาย 3.3% เหลือโต 3% ขณะที่การส่งออกติดลบ 2% จากเดิมคาดว่าขยายตัว 0.8%
โดยสินค้าส่งออกของไทยไปยังอังกฤษที่จะได้รับผลกระทบคือ ไก่แปรรูป ยานยนต์ อัญมณี รวมทั้งอาจกระทบการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น เพราะหากเศรษฐกิจยุโรป และอังกฤษชะลอลง นักท่องเที่ยวจากยุโรป และอังกฤษ มีกำลังซื้อสูง จะชะลอการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเช่น ภูเก็ต สมุย
นายธนวรรธน์ กล่าวด้วยว่า ผลจาก Brexit จะกดดันราคาน้ำมันในตลาดโลกให้อยู่ในระดับต่ำต่อไป คาดว่าจะไม่สูงเกิน 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ซึ่งจะมีผลต่อราคาสินค้าเกษตรของไทยลดลง โดยเฉพาะราคายางพารา จะยิ่งกดดันต่อรายได้ของเกษตรกรไทยต่อไป ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มอีกอย่างต่ำประมาณ 20,000-50,000 ล้านบาท นอกเหนือจากเม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะเข้าสู่ระบบในปีนี้ประมาณ 300,000-400,000 ล้านบาท เพื่อดันให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีขยายตัวได้ประมาณ 3.3% ตามเป้าหมายที่วางไว้
น.ส.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด อีไอซี ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้โตประมาณ 2.8% โดยภาคท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลักขยายตัวประมาณ 9% ขณะที่การลงทุนภาครัฐส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนขนาดเล็กในท้องถิ่น ทำให้แรงผลักดันเศรษฐกิจไม่สูงมาก ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคืออัตราการจ้างงานต่ำลง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ ทั้งผลกระทบจาก Brexit และความไม่แน่นอนที่อาจจะมีหลายประเทศออกจากอียู ทำให้ยังมีความผันผวนสูง
นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ในอดีตอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศไทยมีการผลิตที่หลากหลาย ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นไทยควรโฟกัสอุตสาหกรรมการผลิตในเรื่องใดให้ชัดเจน จะทำให้สามารถพัฒนาแรงงาน ทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะการคมนาคมขนส่ง เพราะที่ผ่านมาการลงทุนของไทยต่ำมาก เมื่อเทียบกับหลายประเทศเพื่อนบ้าน
รายงานข่าวธนาคารโลก เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2559 ขยายตัว 2.5% จากปี 2558 ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและการส่งออกลดลง แต่ปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง การเงินและการคลังที่เข้มแข็งช่วยปกป้องให้ไทยรอดพ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้ โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินการลงทุนภาครัฐ ทักษะแรงงาน และอายุของประชากรที่สูงขึ้น
นายอูริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยรายงานธนาคารโลกฉบับล่าสุดเรื่องผลกระทบสังคมผู้สูงอายุต่อเศรษฐกิจไทย ว่า แระชากรวัยทำงานของไทยคาดว่าจะลดลงอีก 11% จากเดิม 49 ล้านคนในปีนี้ จะลดเหลือ 40.5 ล้านคน ในปี 2583 โดยการคาดการณ์นี้จะเห็นว่าประชากรวัยทำงานของไทยลดลงมากที่สุด กว่าประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในเอเชียตะวันออก ดังนั้น การเพิ่มผลิตภาพของแรงงานจึงมีความสำคัญเมื่อเทียบประเทศอื่นๆ ที่มีรายได้สูงอื่นไปแล้ว ประชากรไทยมีรายได้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาก ซึ่งช่วยย้ำให้เห็นถึงความสำคัญในการปฏิรูปนโยบายหลายด้าน ทั้งด้านบำนาญ การดูแลสุขภาพ และการดูแลผู้สูงวัยในระยะยาว
นายสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าราคาน้ำมันโลกผันผวน หลังอังกฤษโหวตออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) แต่ยังกระทบไม่มาก ส่วนโครงการนำเข้าแอลพีจีเพื่อส่งออก (Re-Export) กระทุ้งรัฐเร่งสร้างความชัดเจน ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบลดลงหลังทราบผล Brexit โดยน้ำมันดิบดูไบลงมาอยู่ที่ 45 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ช่วงนับจากนี้คาดผันผวนต่อ โดยอาจเคลื่อนไหวประมาณ 42-48 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และ ปตท.ยังคาดทั้งปีราคาเฉลี่ย 40 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล โดยในส่วนของ Brexit กว่าจะมีผลจนออกจากอียูก็ 2 ปีข้างหน้า ในช่วงนี้จึงคาดว่าจะไม่มีผลต่อราคามากนัก ขณะที่ ปตท.ก็มีการบริหารความเสี่ยงติดตามสถานการณ์โดยตลอด ซึ่งด้านการเงินแม้เงินบาทจะอ่อนค่าแต่ด้วยธุรกิจเป็นการซื้อมาขายไปในรูปดอลลาร์สะท้อนราคาตลาดโลก จึงเป็นการบริหารความเสี่ยงตามธรรมชาติหรือ Natural Hedge