"สมคิด" ชี้ไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ มั่นใจศก.เอเชียจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง คาดจีดีพีอาเซียนขยายตัว 6-8% แม้ศก.โลกถดถอย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะต้องเผชิญกับปัญหา รวมถึงมีกรณีสหราชอาณาจักรลงประชามติออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) แต่หลายฝ่ายได้เตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์ไว้แล้ว และเชื่อว่าความผันผวนจะเกิดขึ้นระยะสั้น พร้อมมั่นใจว่าในอนาคตเศรษฐกิจเอเชียจะกลับมาแข็งแกร่งและมีบทบาทสำคัญอีกครั้ง โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียนที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ขยายตัว 6 – 8% ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกถดถอย อาเซียนจึงถือเป็นซัพพลายเชนสำคัญของภูมิภาค และเป็นซัพพลายเชนของนักลงทุนจีน ขณะเดียวกันต้องอยู่ภายใต้ความร่วมมืออาเซียนบวก 6 (RCEP) และไทยอยู่ศูนย์กลางของอาเซียนจะเป็นเกตเวย์ที่สำคัญในการเชื่อมการลงทุนในภูมิภาค มีการจัดตั้งระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกที่จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 28 มิถุนายน ส่วนร่าง พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก คาดจะเข้า ครม.ภายในเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งนี้ ประเทศไทยขณะนี้ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงก่อนการเลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เคยดำเนินในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เพื่อก้าวเข้าสู่การเพิ่มมูลค่าให้สินค้านำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ เน้นการวิจัยและความสร้างสรรค์เข้ามาผนวก โดยรัฐบาลกำหนด 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต รวมทั้งคลัสเตอร์เข้ามารองรับ
สำหรับการพัฒนาดังกล่าวต้องประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ รัฐบาลสนับสนุน เอกชนลงทุน และองค์ความรู้ โดย 2 ส่วนหลังนี้ต้องการนักลงทุนจีนและความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยชิงหัวในสนับสนุนคลัสเตอร์ให้สำเร็จ พร้อมกันนี้ไทยต้องการเชิญเอกชนจีนเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งบีโอไอจะอำนวยความสะดวกในการเข้าพบผู้แทนบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทย โดยใช้โอกาสจากความร่วมมืออาเซียนบวก 6 ที่การเจรจาใกล้จบลงแล้วและเดินหน้าเต็มรูปแบบ หากเข้ามาลงทุนในไทยและพบการทุจริตคอร์รัปชั่น ขอให้แจ้งรัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายทันที
ทั้งนี้ นายสมคิดได้เข้าพบนายซือ อี้กง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยซิงหัว โดยมีการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ณ ห้องตะวันออก สำนักอธิการบดี มหาวิทยาลัยซิงหัว พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานการลงนาม Letter of Intent on ระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) และมหาวิทยาลัยซิงหัว