กกร.ชี้เศรษฐกิจปี’59 มีทั้งปัจจัยบวกปัจจัยลบ หวังได้แรงหนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ ช่วยกระตุ้นเอกชนให้ลงทุนตาม ซ้ำได้ดอกเบี้ยต่ำเป็นตัวช่วย แต่ยอมรับยังกังวลภาวการณ์ส่งออกที่ยังย่ำแย่ หวั่น เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน และอาจรับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยในการประชุม กกร. วันที่ 7มิถุนายน ว่า เศรษฐกิจไตรมาส 2/59 คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงไตรมาส 1/59 ที่เติบโต 3.2% หลังเศรษฐกิจไทยโดยรวมในเดือน เม.ย. 2559 ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงส่งหลักจากภาคการท่องเที่ยวและการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ส่วนทั้งปี’59 กกร. ยังคงประมาณการไว้ที่ 3-3.5%
อย่างไรก็ตาม กกร. ยังติดตามสถานการณ์การส่งออกและความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ เพื่อประเมินกรอบตัวเลขจีดีพีและการส่งออกในอนาคต รวมทั้งการลงประชามติ ของสหราชอาณาจักร เรื่้องการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ตลอดจนท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ซึ่งมีผลต่อความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนและรายได้ของผู้ส่งออก หลังจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในเดือนพ.ค. ออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าและตลาดลดการคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง
“ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะในเดือนเม.ย. จะเห็นว่าภาคการบริการและการท่องเที่ยว ประกอบกับการเบิกจ่ายงบภาครัฐยังเป็นแรงส่งที่ดีทำให้เศรษฐกิจเติบโตถึงแม้ว่าตัวเลขการส่งออกที่กลับมาหดตัว จะส่งผลให้การขยายตัวของภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับต่ำ แต่การบริโภคในประเทศเริ่มมีสัญญาณที่ดีจากยอดขายรถยนต์ที่พลิกกลับมาเป็นบวก แต่ยังถูกกดดันจากรายได้ของเกษตรกรและการระมัดระวังการใช้จ่ายของครัวเรือน ส่วนการลงทุนภาคเอกชนก็ยังฟื้นตัวไม่เด่นชัด ซึ่งสะท้อนจากความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า”นายปรีดี กล่าว
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนภาพรวมประเมินว่าจะกลับมาลงทุนในช่วงไตรมาส 3 และ 4 เพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเหมาะกับการลงทุน เชื่อว่าเมื่อภาครัฐเดินหน้าลงทุนไปแล้วภาคเอกชนจะลงทุนตาม ซึ่งอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำจะเอื้อต่อการลงทุนและไม่กระทบเงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์ เพราะการที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลงถือเป็นกลไกการบริหารสภาพคล่องของแต่ละธนาคาร และขอยืนยันว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะยังไม่ถึงขั้นต้องติดลบเหมือนกับต่างประเทศ และเชื่อว่าปีนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ย หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยปีนี้
สำหรับสินเชื่อในระบบของธนาคารพาณิชย์ ปีนี้ยังคาดการณ์เติบโตไว้ที่ 5-6% โดยจะได้รับแรงหนุนจากการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นตัวสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนมาลงทุนได้ โดยจากไตรมาส 1/59สินเชื่อทั้งระบบเติบโต 3% โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งจะเป็นแรงส่งให้สินเชื่อขยายตัวได้ดีเช่นเดียวกัน
“การลงทุนภาคเอกชนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อภาครัฐลงทุนไปก่อน ซึ่งจะเห็นได้หลายโครงการที่ภาครัฐลงทุนที่เอกชนร่วมลงทุนด้วยโดยไตรมาส 3 และ 4 จะเห็นการลงทุนที่ชัดเจนมากขึ้น” นายปรีดี กล่าว
สำหรับการส่งออกปีนี้ กกร. ยังประเมินว่าจะขยายตัวที่ 0-2% โดยยังเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้เอกชน หลังการส่งออกกลับมาหดตัวอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กกร. ยังต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจโลกและจีนเป็นสำคัญ เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้ากับไทยเป็นสำคัญ ซึ่งหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวก็จะกระทบภาคส่งออกของไทย นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการประชุมของ EU ถึงท่าทีของอังกฤษเป็นสำคัญ
ด้านนายเจน นำชัยศิริ ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีตัวช่วย ได้แก่ ราคาน้ำมันปรับขึ้นช่วยสินค้าเกษตรดีขึ้นได้บ้าง เช่น ยางพารา ขณะที่ภาครัฐลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วม ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยที่สำคัญและยังคงต่อเนื่อง คือ การท่องเที่ยว นโยบายรัฐบาลอีสเทิร์นอีโคโนมิคคอร์ริดอร์ และการหักภาษี ทำให้เอกชนมองการลงทุนมากขึ้น
ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การลงทุนภาครัฐที่ขับเคลื่อนออกมาจากภาคเอกชนจะลงทุนตามหลัง 6 เดือน โดยไตรมาส 3-4 การลงทุนภาคเอกชนน่าจะปรับตัวดีขึ้น ที่ผ่านมาการลงทุนกลุ่มสื่อสารมีการลงทุนนับ 100,000 ล้านบาท