จากตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนเมษายนล่าสุด กลับมาติดลบเป็นเดือนที่ 2 ของปีนี้ โดยมีมูลค่าการส่งออก 1.55 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบที่ -8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(จากม.ค. -8.9% ก.พ. +10.2% และมี.ค. +1.30%ตามลำดับ) ขณะภาพรวมการส่งออกของไทยช่วง 4 เดือนแรก มีมูลค่ารวม 6.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังติดลบที่ -1.24% เช่นกัน และถือว่ายังห่างจากเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายการส่งออกปี 2559 ขยายที่ 5% (มูลค่า 2.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ไว้มาก ซึ่งในอีก 8 เดือนที่เหลือเฉลี่ยต้องทำให้ได้ถึงเดือนละ 1.94 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงจะบรรลุเป้าหมาย ถือมีความเป็นไปได้ค่อนข้างยาก
ติดลบหนักเหนือคาดหมาย
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การส่งออกในเดือนเมษายนที่ติดลบ 8% ถือเป็นการติดลบที่เหนือความคาดหมายมาก เพราะทางสภาผู้ส่งออกคาดการณ์ไว้การส่งออกเดือนเมษายนน่าจะขยายตัวที่ -1% ถึง +1% ตัวเลขที่ปรากฏออกมา -8 % มองว่าเป็นผลจากหลายปัจจัย ที่สำคัญคือ เศรษฐกิจโลกยังดูอึมครึม ผลจากการก่อการร้ายในเบลเยียม (มี.ค.59) ความไม่ชัดเจนกรณีที่อังกฤษจะถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป(อียู) กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด)ยังไม่ชัดเจนจะขึ้น-ไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะกระทบกับระบบการเงินของโลก รวมถึงกระแสเศรษฐกิจของจีนและญี่ปุ่นที่ยังไม่ดี
“จากทุกปัจจัยที่กล่าวมาที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกส่งผลให้ผู้บริโภคในต่างประเทศเกิดความไม่มั่นใจ ทำให้คู่ค้าลดการนำเข้า อย่างไรก็ตามยังมองในแง่ดีว่า การส่งออกของไทยในเดือน 5-6 (พ.ค.-มิ.ย.)น่าจะรีบาวด์กลับมาได้บ้าง โดยคาดตัวเลขส่งออกน่าจะทำได้มากกว่าเดือนเมษายน ซึ่งหากกลับมาได้ที่ระดับ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯก็น่าจะกลับมาดีขึ้น แต่ถ้ายังติดลบอีก ทั้งปีนี้การส่งออกติดลบแน่ และคงหวังพึ่งภาคการส่งออกในการผลักดันจีพีดีไม่ได้”
รอผลQ2จ่อปรับลดคาดการณ์
เบื้องต้นสภาผู้ส่งออกยังคงคาดการณ์ส่งออกทั้งปีนี้ขยายตัวที่ 0-2% ไว้ตามเดิม โดยจะรอดูตัวเลขการส่งออกในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน หรือในภาพรวมไตรมาสที่ 2 ของปีนี้เสียก่อนว่าจะเป็นอย่างไร จะต้องปรับลดคาดการณ์ลงอีกหรือไม่ แต่ถือว่าน่าห่วงเพราะดูแล้วเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อการส่งออกยังลงไม่ถึงจุดต่ำสุด โดยล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงเหลือ 3.2% (จากเดิมปรับลดจาก 3.6 เหลือ 3.4% ตามลำดับ)
“ตัวเลขการส่งออกเดือนเมษายนล่าสุดที่ติดลบ 8% ในจำนวนนี้สัดส่วน 3% มาจากการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยที่ลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกและส่งผลต่อการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันทั้งเคมีภัณฑ์ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติกลดลงตาม ส่วนสัดส่วนอีก 5% มาจากสินค้าอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก โดยการส่งออกของไทยไปยังตลาดหลักในเดือนเมษายน ทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อียู อาเซียน จีน ยังติดลบทุกตลาด”
มองบวกแต่ยังเสี่ยง
สำหรับในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนที่ทางสภาผู้ส่งออกยังหวังการส่งออกของไทยจะกลับมาขยายตัวดีขึ้น มีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะฟื้นกลับมา จีนสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ดีขึ้น และจะกลับมาผลิตสินค้าส่งออกได้มากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งต้องนำเข้าวัตถุดิบจากไทย ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้น จะส่งผลให้สินค้าส่งออกที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แต่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง เช่น เศรษฐกิจสหรัฐฯจะฟื้นตัวได้ดีเพียงใด เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ หากขึ้นจะทำให้ค่าเงินของโลกและค่าเงินบาทของไทยเกิดความผันผวน หากมีผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าน้อยกว่า หรือแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่แข่งขันก็จะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงต้องดูทิศทางราคาน้ำมันจะปรับ-ขึ้นลงอย่างไร
จี้แอกชันแพลน 7 ยุทธศาสตร์
“นพพร” กล่าวอีกว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และอาจต้องไปเซต 0 กันใหม่นี้ อย่าไปหวังการส่งออกจะโตมาก แค่ประคองตัวไปได้ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ทุกประเทศก็จะหันไปกระตุ้นเศรษฐกิจจากภายใน และลดการนำเข้าแทบทั้งสิ้น ดังนั้นการจะไปขายสินค้าเพื่อเพิ่มยอดสูง ๆ เป็นไปได้ยาก แต่อีกด้านหนึ่งมองว่าเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้เร่งปฏิรูปการส่งออก และการค้าของประเทศ โดยต้องมีแผนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการค้าเพื่อรองรับการแข่งขัน
ในเบื้องต้นยุทธศาสตร์ในการผลักดันการส่งออกปี 2559 ตามที่คณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ(พกค.)ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2558 ได้ข้อสรุป 7 ยุทธศาสตร์ ต้องเร่งนำมาขยายผลสู่ภาคปฏิบัติโดยเร็ว โดยแต่ละยุทธศาสตร์ต้องมีแผนงานและเป้าหมายอย่างชัดเจน เช่น กรณีที่กระทรวงพาณิชย์มีแผนจะนำเอกชนบุกเจาะตลาด 50 เมืองทั่วโลกที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงก็ต้องมีแผนที่ชัดเจนจะเข้าไปอย่างไร หรือเจาะอย่างไร เพราะแต่ละเมืองมีความแตกต่างกัน แต่เวลานี้เรื่องดังกล่าวก็เห็นเงียบไป
ต้องนำทัพบุกตปท.ทุกเดือน
“การผลักดันการส่งออก ดีที่สุดตอนนี้ต้องจีทูจี คือรัฐบาลต้องออกหน้าพาเอกชนไปทำโรดโชว์และเชื่อมโยงการค้าในต่างประเทศ ต้องไปทุกเดือน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องรวบรวมนักธุรกิจไปนัดเจอเขา เจรจาการค้า ทำบิสิเนสแมตชิ่ง ไปขายของเขาอย่างเดียว อันนั้นเป็นการทำงานแบบในอดีตไปแล้ว สมัยนี้ต้องจับมือเป็นพันธมิตรใกล้ชิดเป็นคู่ค้ากัน และมองประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว เช่น มีแผน 5 ปีว่าเราจะซื้ออะไรจากเขา และเขาจะซื้ออะไรจากเรา ต้องเชิงแลกเปลี่ยนกัน และมีคณะทำงานติดตามผล”
นอกจากนี้ในการนำนักธุรกิจไปเจาะตลาดก็ต้องเลือกในรายที่มุ่งทำตลาดนั้นจริงๆ เช่นตลาดอิหร่าน รัสเซีย เกาหลีใต้ ไม่ใช่เลือกในรายที่ซ้ำไปซ้ำมาและไปทุกตลาด อีกแง่หนึ่งการสร้าง “นักรบเศรษฐกิจใหม่” ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของรัฐบาลก็ไม่ใช่ไปค้าขายอย่างเดียว แต่ต้องมีสินค้าที่มีนวัตกรรมของตัวเองก่อน ต้องรู้จักคู่ค้าจริงๆ เช่นต้องพูดภาษาเขาได้ หรือต้องรู้จักวัฒนธรรมเขา และต้องไปฝังตัวอยู่ในตลาดนั้นๆ โดยที่รัฐบาลไปสร้างช่องทางหรือจุดจำหน่ายให้ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นหนึ่ง ในแนวคิดของชาติการค้า(เทรดดิ้ง เนชั่น)ที่เคยเสนอไว้
เสนอตั้งกรมดูอี-คอมเมิร์ซ
ขณะที่ในเรื่องการค้าทางอิเล็กทรอนิกส์(อี-คอมเมิร์ซ) หนึ่งในช่องทางการค้าแห่งอนาคตที่กำลังมาแรงขอเสนอให้รัฐบาลตั้งกรมส่งเสริมการค้าอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ เพื่อดูแลและวางแผนการค้าอี-คอมเมิร์ซในภาพรวมของประเทศ ซึ่งที่สุดแล้วหน่วยงานนี้ควรจะผันตัวออกไปเป็นองค์กรสาธารณะ หรือเป็นอิสระ ไม่ใช่เหมือน thaitrade.com ของกระทรวงพาณิชย์ที่รัฐทำเองทั้งหมด ทำให้ประสิทธิภาพยังน้อย
“ในส่วนของทูตพาณิชย์ของไทยที่มีอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วโลก มองว่าต้องตั้งเป็นสำนักงานหรือหน่วยงานคล้ายๆ เจโทรโมเดลของญี่ปุ่นที่สามารถส่งเสริมให้นักธุรกิจทำธุรกิจได้จริง มีการหาข้อมูลคู่ค้า ข้อมูลคู่แข่ง ข้อมูลการตลาด และข้อมูลอื่นๆ ในเชิงธุรกิจไม่ใช่ข้อมูลทั่วไป รวมถึงให้การสนับสนุนการตั้งศูนย์กระจายสินค้า(DC) เพื่อนำสินค้าไทยไปแสดงและกระจายในตลาดนั้นๆ ซึ่งจะได้ผลมากกว่าการนำเอสเอ็มอีซึ่งมีทุนน้อยไปบุกตลาดเป็นครั้งคราว เพราะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนี้ส่วนใหญ่จะเก่งทางด้านการผลิตไม่เก่งด้านตลาด ดังนั้นต้องเร่งส่งเสริมให้เกิดบริษัทเทรดดิ้งคัมปะนีที่เก่งด้านการตลาดเข้ามาเป็นคนกลางเพื่อนำสินค้าของเอสเอ็มเอ็มอีไปขาย”
บางส่วนของข้อเสนอแนะข้างต้นนี้ “นพพร”เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มยอดการส่งออกของไทยได้ ขณะที่ในอีก 5 ปีข้างหน้าบริบทของการผลิตและการค้าโลกจะเปลี่ยนไปอีกมาก โดยจะเข้าสู่ “ยุคปฏิวัติ 4.0” ซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเร่งปรับตัวและวางแผนรับมือเช่นกัน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,161
วันที่ 29 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559