ภาคเอกชนแสดงความเห็นต่อกรณีนายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนมีนาคม ตัวเลขการส่งออกมีมูลค่า 19,125 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 1.3% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่เมื่อหักการส่งออกทองคำ จะติดลบ 1%
วัลลภ วิตนากร
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และรองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)
การส่งออกเดือนมีนาคม 2559 ที่ขยายตัว 1.3% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เมื่อหักเฉพาะทองคำออกไป การส่งออกจะติดลบ 1% ซึ่งยังวางใจไม่ได้ว่าการส่งออกเริ่มฟื้นตัวขึ้น หากจะมองว่าฟื้นตัวเป็นการมองในแง่บวกเกินไป เพราะตลาดหลักส่งออกของไทย 4 ประเทศหลักและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลก คือ สหภาพยุโรป (อียู) สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น
การส่งออกของไทยยังลดลงอยู่ เมื่อตลาดดังกล่าวชะลอตัว แต่ตลาดรองอย่างอาเซียนเดิม (สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน) การส่งออกเริ่มขยายตัวดีขึ้น
ยังมีจุดน่าห่วงว่า การส่งออกของประเทศไทยขณะนี้ยังวางใจไม่ได้ เนื่องจากตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) เป็นประเทศที่มีฐานผลิตและการส่งออกเช่นเดียวกับไทย มียอดการส่งออกจากไทยติดลบ 2 เดือนต่อเนื่อง โดยภาพรวมยังไม่ได้เป็นตัวบอกว่าส่งออกฟื้นตัว ต้องรอดู
สำคัญที่สุดและที่น่าห่วง คือ การส่งออกจากไทยไปประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) ซึ่งประชาชนในประเทศดังกล่าวนิยมสินค้าไทย ปรากฏว่าการส่งออกยังติดลบ 2 เดือนต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ติดลบ 5.8% และ ติดลบ 6.9% ตามลำดับ เป็นตัวเลขที่น่าห่วง เพราะหวังว่าการส่งออกไทยไปซีแอลเอ็มวีปีนี้อย่างน้อยจะต้องขยายตัวเท่ากับปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 7% เฉพาะเพียงไตรมาส 1 ปีนี้ สัญญาณที่เห็นคือติดลบแล้ว
ดังนั้น ควรวางยุทธศาสตร์และดำเนินการตามที่กระทรวงพาณิชย์เคยประกาศไว้ ด้วยการเข้าไปเจาะตลาดหัวเมืองหลักและเมืองรอง และจัดการเจรจาธุรกิจ (Business matching) ของผู้ส่งออกไทยกับผู้ซื้อในต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องต้องเร่งรัดดำเนินการ ฉะนั้น ส.อ.ท.ยังมองการขยายตัวส่งออกปีนี้อยู่ที่ 0-2% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มไม่ค่อยดีนัก มีการชะลอตัวอยู่
วิพล วรเสาหฤท
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดลูกค้า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารไทยพาณิชย์
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจหรืออีไอซีของธนาคารประเมินว่า มูลค่าการส่งออกเดือนมีนาคมขยายตัวที่ 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการส่งออกทองคำที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องประมาณ 2 เท่า แต่หากไม่รวมทองคำ การส่งออกของไทยในเดือนมีนาคมจะกลายเป็น ติดลบ 1.1% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมของปีก่อน เป็นผลตามมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหลักอย่างอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมากและเป็นเวลานานส่งผลให้การส่งออกสินค้าที่เชื่อมโยงกับน้ำมันมีราคาลดลงตามราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนมูลค่าการนำเข้าเดือนมีนาคมแม้จะยังติดลบ แต่เป็นการติดลบที่น้อยลง อยู่ที่ 6.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มาจากมีการนำเข้าสินค้าทุนมากขึ้นในเดือนมีนาคมนี้ หลังจากที่ติดลบรุนแรงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 โดยมีการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นในหมวดเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบที่ขยายตัวกว่า 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี การนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้น เป็นการเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้นในเดือนมีนาคม แต่ยังมีความเสี่ยงอยู่หากการลงทุนของภาครัฐยังล่าช้า
อีไอซีมองว่ามูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นยังคงมาจากปัจจัยชั่วคราว โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหลักยังถูกกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ มูลค่าการส่งออกที่ไม่รวมทองคำในช่วง 3 เดือนแรกของปีจะยังหดตัวกว่า 2.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน
คาดว่าในปี 2559 นี้การส่งออกจะยังคงติดลบ 2.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมที่คิดเป็นสัดส่วนกว่า 78% ยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของคู่ค้าหลัก เช่น จีน อาเซียน 5 ประเทศ และญี่ปุ่น ที่ยังคงชะลอตัว ส่วนตัวเลขการส่งออกของปีนี้ที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวมีอัตราเติบโต 5% นั้น คงเป็นตัวเลขเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ต้องการจะเห็น ซึ่งธนาคารเองก็คาดหวังที่ไม่อยากให้การส่งออกติดลบ อย่างไรก็ตาม หากแนวโน้มค่าเงินบาทปีนี้ที่อาจจะอ่อนค่าที่ระดับ 37 บาทต่อเหรียญสหรัฐได้จริง น่าจะเป็นผลดีต่อภาคส่งออกด้วย
ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์
กรรมการรองเลขาธิการหอการค้าไทย
ตัวเลขการส่งออกของเดือนมีนาคมที่มีมูลค่า 19,125 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ขยายตัว 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมานั้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการส่งออกไทย เพราะในปี 2558 ที่ผ่านมา ไทยมีมูลค่าการส่งออกที่ติดลบทั้งปี แต่ในเดือนมีนาคมนี้ขยายตัวเป็นบวกได้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีมาก รวมทั้งเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า และประเทศคู่แข่งของไทย จะพบว่าตัวเลขการส่งออกของประเทศไทยดีกว่าในเกือบทุกประเทศทั่วโลกที่ตัวเลขส่งออกยังติดลบต่อเนื่อง อาทิ ประเทศรัสเซีย ติดลบสูงถึง 34.5% สิงคโปร์ ติดลบ 20.7% ออสเตรเลีย ติดลบ 20.4% มาเลเซีย ติดลบ 19.7% จีน ติดลบ 17.9% เกาหลีใต้ ติดลบ 16.1% อินเดีย ติดลบ 15.2% สหรัฐอเมริกา ติดลบ 7.4% ฮ่องกง ติดลบ 7.2% และญี่ปุ่น ติดลบ 6.8%
แม้ตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนมีนาคมเป็นบวก แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว และปัจจัยของราคาน้ำมันที่ทั้งปีน่าจะเฉลี่ยประมาณ 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะส่งผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์ให้อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขในไตรมาส 1 ของปีนี้ ที่ขยายตัวเป็นบวก 0.9% น่าจะช่วยให้ไตรมาส 2 ที่ถือเป็นช่วงที่ยอดส่งออกชะลอตัวในทุกๆ ปี มีทิศทางที่สดใสกว่าปีที่ผ่านมาได้
อัทธ์ พิศาลวานิช
ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
การส่งออกเดือน มีนาคม 2559 ขยายตัว 1.3% และไตรมาส 1 ของปีนี้การส่งออกขยายตัว 0.9% ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะเมื่อเทียบกับการส่งออกทั้งปี 2558 ติดลบมาต่อเนื่อง เฉพาะไตรมาส 1 ปีที่ผ่านมาติดลบ 4.7% ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะบอกว่าการส่งออกเริ่มฟื้นตัว เนื่องจากการส่งออกทั้งปีนี้ยังเหลืออีก 9 เดือน ขอให้ติดตามต่อไป ยังมีปัจจัยเสี่ยงและความท้าทายอีกมาก
ทั้งเศรษฐกิจโลกที่คาดการณ์ว่าปี 2559 จะขยายตัวเพิ่มเพียง 0.1% เป็น 3.2% จากปีที่ผ่านมา 3.1% ประกอบกับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทย มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพียังชะลอตัวก็จะส่งผลต่อการส่งออกของไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็นจีน ที่คาดการณ์กันว่าจีดีพีปีนี้จะอยู่ที่ 6.5% ลดลงจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 6.9% ต่ำสุดในรอบ 25 ปี
จะเห็นว่าปีที่ผ่านมาจีดีพีของจีนจะขยายตัวมากกว่าปีนี้ แต่การส่งออกทั้งปี 2558 ของไทยก็ยังติดลบ ดังนั้น ปีนี้โอกาสส่งออกของไทยไปตลาดจีนจึงยังต้องจับตามอง สำหรับญี่ปุ่น จีดีพีปีนี้และปีที่ผ่านมาคาดการณ์ว่าจะเท่ากันที่ 0.5% ประกอบกับเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในประเทศก็จะส่งผลให้ประชาชนญี่ปุ่นชะลอการบริโภคเป็นระยะเวลา 3-4 เดือนจากนี้ ด้านตลาดสหภาพยุโรป (อียู) ก็ยังไม่เห็นสัญญาณที่ดีขึ้น ยังทรงตัว ส่วนสหรัฐอเมริกา แม้เศรษฐกิจจะมีสัญญาณดีขึ้น จากการจ้างงาน แต่ธนาคารกลางสหรัฐในรอบที่ผ่านมาก็ยังไม่กล้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะยังไม่มั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนัก และยังต้องการกระตุ้นให้มีการบริโภคและลงทุนภายในประเทศ
นอกจากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวมาที่กระทบกับการส่งออกไทยแล้ว ราคาน้ำมันก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม จะส่งผลต่อราคาสินค้าเกษตร และสินค้าโภคภัณฑ์ หากราคาน้ำมันยังทรงตัวระดับต่ำ ราคาสินค้าเกษตรก็จะยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ ถ้าแม้ส่งออกได้ปริมาณมากขึ้น แต่หากราคายังต่ำอยู่ มูลค่าการส่งออกก็จะไม่ขยายตัวนัก