นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า วันที่ 31 มี.ค.นี้ ธปท.จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปีนี้ลง โดยคาดว่าจะต่ำกว่าเดิมที่คาดการณ์ไว้ 3.5% หลังจากที่เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศผันผวนมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก ขณะที่สถานการณ์ภัยแล้งนั้น ประเมินว่าจะรุนแรงกว่าที่คาดไว้
ส่วนกรณีที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้กระทรวงการคลัง หามาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย เพื่อใช้ในอีก 3-4 เดือนข้างหน้านั้น มองว่าเป็นเรื่องที่ดี สะท้อนว่ารัฐบาลเห็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งเฉย มองเห็นสถานการณ์ภายนอกน่ากังวล ประกอบกับการลงทุนขนาดใหญ่ ช้ากว่าที่คาด ซึ่งมองว่าบทบาทนโยบายการคลังมีส่วนสำคัญ รวมทั้งดำเนินการให้สอดคล้องกับการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ยอมรับว่า การดำเนินนโยบายการเงินนั้น ต้องใช้เวลา
“สิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำนั้น สะท้อนว่ารัฐบาลเห็นความเสี่ยง ที่จะสูงขึ้น ทั้งเรื่องภัยแล้ง การลงทุนขนาดใหญ่ที่อาจล่าช้า ราคาพลังงานตกต่ำช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะการนำนโยบายการคลังเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การส่งเสริมการลงทุนให้ชัดเจน”
นายวิรไท กล่าวว่า การที่เงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องช่วงที่ผ่านมานั้น เป็นผลจากตลาดการเงินโลกผันผวน ซึ่งยอมรับว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการได้ทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (เฮดจิ้ง) เพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ ช่วงที่เงินบาทอ่อนค่าลง ผู้ประกอบการด้านการส่งออก ก็ทำประกันความเสี่ยงน้อยลง เพราะชะล่าใจ เนื่องจากมองว่าค่าเงินจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด ทางหนึ่งเพียงด้านเดียว
“บางครั้งผู้ส่งออกก็ชะล่าใจ พอเงินบาทอ่อน ก็ทำเฮดจิ้งน้อยลง ซึ่งอย่าคิดว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียว เพราะต้องยอมรับว่า ขณะนี้ตลาดการเงินโลกผันผวนมาก”
ส่วนกรณีจะใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าเห็นว่าศรษฐกิจแย่กว่าที่คาดนั้น เป็นข้อหนึ่งที่สั่งการบ้านให้ทีมงาน โดยให้ดูว่า การเพิ่มปริมาณสภาพคล่องเข้าไปนั้น จะทำอย่างไรให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ ทั้งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เริ่มถูกหมุนเวียน ผ่อนปรนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นำเงินสำรองไปลงทุนได้ก่อน จะได้ผลรวดเร็วกว่าการทำนโยบายการเงิน ที่ต้องอาศัยเวลา