รายงาน…5 เดือนของ “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี “มือเศรษฐกิจ” ในทำเนียบรัฐบาล บนสังเวียนเศรษฐกิจไทย-เศรษฐกิจโลก มีการปรับเปลี่ยน “กลยุทธ์” จากในช่วงแรกของการเข้ากุมบังเหียน “ทีมเศรษฐกิจ” ใน “ครม.ประยุทธ์ 3” ประสบการณ์จากการเดินสายโรดโชว์ต่างประเทศทำให้รู้ว่ากลยุทธ์การ “ปาฐกถา” เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักธุรกิจ นักลงทุนทั้งไทย-เทศ ยังไม่สามารถเร่งเร้าให้เกิดการลงทุนได้อย่างเต็มที่ได้

หลังจากนี้ “ทีมสมคิด” เปลี่ยนแทคติคจากการจัดเวที “สปีช” เป็นเดินสาย “น็อกดอร์” หรือเคาะประตูถึงหน้าบ้าน โดยมีคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เป็นหัวหอก ถึงแม้ว่าสารพัดมาตรการจูงใจนักลงทุนต่างชาติ-การเดินสายโรดโชว์ต่างประเทศของรัฐบาลจะผลิดอกออกผลเห็นได้จากตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เดือน ม.ค.เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ทว่าปัญหาที่หนักอก “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” คือ การขาดความเชื่อมั่นจาก “นักลงทุนไทย” มิหนำซ้ำยังหอบเงินหนีไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า-กัมพูชา สวนกระแสก่อนหน้าการเรียกร้องให้ปรับทัพ-เปลี่ยนหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ครม.ประยุทธ์ 1-2 ออก เพื่อเรียกความเชื่อมั่นภาคเอกชนให้กลับคืนมา
ปรากฏการณ์ “ข่าวร้ายรายวัน” ซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกที่มีสภาพเหมือน “คนป่วย” จนกระทั่งตกตะกอนเป็นความไม่เชื่อมั่นภาคเอกชนให้ดำดิ่ง อาทิ การปรับประมาณการตัวเลขจีดีพีลง ตัวเลขการส่งออกติดลบ จึงทำให้เห็นว่ากลยุทธ์การผูกความมั่นใจตัว “แม่ทัพเศรษฐกิจ” แต่เพียงผู้เดียวไม่ได้ผล เกิดเป็นจุดอ่อนของ “ทีมงานสมคิด”
จน “ดร.สมคิด” ต้องบ่นดัง ๆ ข้ามรั้วทำเนียบรัฐบาลว่า “ต้องออกมาพูดบ้างซิวะ ไม่ให้สัมภาษณ์เลยก็ไม่รู้เรื่อง มัวแต่ทำงานลูกเดียว” จากนี้จะได้เห็น “ขุนคลัง”-อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ออกมาชี้แจงมากขึ้น จากเดิมที่ก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน หลังจาก “ดร.สมคิด” บังคับนายอภิศักดิ์ให้สัมภาษณ์นักข่าวเมื่อคราวการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา สำหรับปัจจัยทางกายภาพที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนคือ ทำเล-ที่ตั้งสำหรับรองรับนักลงทุนจากต่างประเทศที่มีพื้นที่จำกัด เฉพาะแหลมฉบัง-มาบตาพุดไม่เพียงพอ
หลังจากนี้จะใช้จุดแข็งของรัฐบาลทหารซึ่งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทำไม่ได้คือ การให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดหาพื้นที่ของทางราชการเพื่อรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ (S-Curve) ที่จะหลั่งไหลมาจากต่างประเทศในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ขณะที่กลยุทธ์ในการต่างประเทศที่ผ่านมาบนบทบาทถ่วงดุลเกมเศรษฐกิจ-การเมืองโลก จากข้อจำกัดของรัฐบาลทหาร ต้องคบจีน-ถ่วงดุลสหรัฐ เริ่มไม่สดใส
ด้วยสภาพป่วยของเศรษฐกิจจีนทำให้ต้อง “รักษาระยะห่าง” และค้นหาประเทศคู่ค้าใหม่ และอานิสงส์จากการ “ควงคู่” เดินทางไปรัสเซียของ “ดร.สมคิด” และ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เมื่อวันที่ 23-25 ก.พ.ที่ผ่านมา ทำให้เห็นช่องทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล จนรัสเซียขึ้นแท่นเป็น “พันธมิตรใหม่” ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ-การเมืองไว้ถ่วงดุลกับสหรัฐ เพื่อรักษาระยะห่างจากจีนเพราะโรคเศรษฐกิจซบเซา
“เมื่อเราไปถึงที่นั่น ไม่มีอะไรที่รัสเซียมีเองเลย อย่างแรกที่เป็นโอกาสมหาศาล คือ เขาอยากให้เราไปลงทุนผลิตอาหารและเกษตร เพราะเขาเลิกผลิตเกษตรไปนานแล้ว มีแต่น้ำมัน มันกินไม่ได้” ดร.สมคิดชี้โอกาสให้นักลงทุนไทยไปลงทุนก่อน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี-หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะขนทัพนักธุรกิจไทยเดินทางเยือนรัสเซีย ในช่วงเดือน พ.ค.
การควงคู่เดินทางไปรัสเซียของ 1 แม่ทัพเศรษฐกิจ 1 แม่ทัพความมั่นคง ในครั้งนี้เป็นกลยุทธ์ของ “ดร.สมคิด” ที่ต้องการให้รัสเซียให้ความสำคัญกับประเทศเล็ก ๆ อย่างไทยมากขึ้น ถึงแม้ “บุคคลระดับ วี.ไอ.พี.” ของรัสเซียจะเปิดทางการเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจกลางที่ประชุมระหว่างเยือนรัสเซียว่า “เป็นการไม่ถูกต้องเลยที่รัสเซียจะอิงอยู่แค่การขายอาวุธ” ก็ตาม ประกอบกับปัญหาการเมืองกับประเทศตุรกี จึงต้องหันมาหาพันธมิตรในแถบอาเซียนเพิ่มมากขึ้น โอกาสค้าขายสินค้าอาหารและเกษตรในรัสเซียจึงเปิดกว้างขึ้น หลังจากเดินทางไปจีน ญี่ปุ่น รัสเซีย ประเทศต่อไปที่ถูก “ดร.สมคิด” วางหมากไว้ คือ เกาหลีใต้และอินเดีย ตามยุทธศาสตร์ “Balance of Power”