สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

สคร.เน้นรัฐวิสาหกิจโปร่งใส นำร่องทอท.โครงการขยายสุวรรณภูมิ
23/02/2016
ข่าวเศรษฐกิจ


นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในปี 2559 สคร. ดูแลการเบิกจ่ายงบลงทุนทั้งหมดของรัฐวิสาหกิจจำนวน 3.2 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าเบิกจ่ายให้ได้เท่ากับเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐบาล คือไม่ต่ำกว่า 75% เพราะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ ทั้งนี้ในปัจจุบันรัฐวิสาหกิจได้เบิกจ่ายงบลงทุนไปแล้ว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจดูไม่มาก เพราะงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ สคร.ดูแลมีทั้งการเบิกจ่ายตามปีงบประมาณ และปีปฏิทินโดยในส่วนของการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจตามปีงบประมาณถือว่าทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

อย่างไรก็ตาม สคร.ยอมรับว่าขณะนี้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจมีความล่าช้าอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ซึ่งทาง สคร.ได้ประสานกับ ร.ฟ.ท.อย่างใกล้ชิด ซึ่งในตอนนี้เริ่มมีการประมูลโครงการรถไฟรางคู่ออกมาต่อเนื่อง

นายเอกนิติกล่าวว่า ในส่วนของการนำส่งรายได้รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 2559 ยังคาดว่าจะได้ตามเป้าหมาย 1.2 แสนล้านบาท แม้ว่าราคาน้ำมันจะตกลงมาทำให้มีผลกับผลประกอบการของบริษัท ปตท.ลดลง ทำให้ปันผลให้กับกระทรวงการคลังได้น้อยลง แต่ก็มีผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจหลายแห่งดีกว่าที่คาดไว้ เช่น บริษัท การท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวมีเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้รายได้ ทอท.เพิ่มขึ้น

ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวว่า ขณะนี้ สคร.เร่งทำความเข้าใจกับหน่วยงานต่างๆ ให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ(CoST) โดยให้หน่วยงานเข้าโครงการที่มีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่มีการเปิดเผยข้อมูลโครงการ ให้กับสาธารณชนรับทราบ และช่วยตรวจสอบการดำเนินโครงการ ลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งขณะนี้ สคร.ได้ทำโครงการนำร่องกับ ทอท. ในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟสสอง โดยได้นำขึ้นเว็บไซต์แล้วบางส่วน หลังจากนี้ สคร.จะมีการจ้างที่ปรึกษาให้ตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวว่ามีการรายงานครบถ้วน ชัดเจน รวมถึงช่วยย่อยข้อมูล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางวิศวกรรมให้เป็นข้อมูลง่ายๆ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าไปดูและเข้าใจได้ไม่ยาก

นายเอกนิติยังกล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) ที่ผ่านมา มีการเห็นชอบในการควบคุมการตั้งบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจ โดยขณะนี้มีบริษัทลูกอยู่ 120 แห่ง แบ่งเป็น 5 ปราะเภท คือ 1.บริษัทลูกที่สนับสนุนการทำงานของบริษัทแม่ และมีกำไรก็ให้บริษัทแม่ถือหุ้นต่อไปได้ 2.บริษัทลูกที่สนับสนุนการทำงานของบริษัทแม่ แต่มีผลขาดทุน ก็ต้องทำแผนฟื้นฟูมาให้ คนร.พิจารณา 3.บริษัทลูกที่ไม่มีส่วนสนับสนุนบริษัทแม่ แต่มีกำไรก็ให้บริษัทแม่ลดสัดส่วนการถือหุ้นลดน้อยลง 4. บริษัทลูกไม่มีส่วนสนับสนุนกิจการบริษัทแม่ และมีผลขาดทุน ก็ให้บริษัทแม่ลดสัดส่วนหุ้น และให้ยกเลิกกิจการของบริษัทลูก

สำหรับกลุ่มที่ 5 บริษัทลูกที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ เช่น บรรษัทสินเชื่อตลาดรองเพื่อที่อาศัย (บตท.) ตั้ง เอสพีวี ขึ้นมาเพื่อระดมทุน หรือกรมธนารักษ์ ตั้งบริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ เพื่อบริหารโครงการศูนย์ราชการซึ่งการดำเนินการบริษัทลูกในลักษณะนี้ก็ให้ดำเนินการได้ต่อไป
ที่มาของข่าว: แนวหน้า

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.