สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

'ปลัดพลังงาน' หวังกระตุ้นศก.รากหญ้า อัดฉีดเงินลงทุนเกือบ 6 แสนล.
08/02/2016
ข่าวเศรษฐกิจ


ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับภาพรวมการประเมินมูลค่าการลงทุนจากภาครัฐ–เอกชน และศักยภาพการลงทุนทางด้านพลังงานในปี 2559 เท่าที่ได้มีการตรวจสอบ และเก็บข้อมูลมาจากหน่วยงานต่างๆโดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พบว่าในปีนี้ มีเม็ดเงินจากภาคเอกชน รวมถึงภาครัฐเข้ามาลงทุนด้านพลังงานสูงถึง 587,572 ล้านบาท และสูงเป็นอันดับ 1 ในบรรดาข้อเสนอการลงทุนด้านต่างๆที่มีเข้ามา

ทั้งนี้ในสาขาไฟฟ้า ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) มีวงเงินลงทุนรวม 121,060 ล้านบาท ภาครัฐจะลงทุนเป็นเงิน 91,060 ล้านบาท เพื่อขยายและปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าและพัฒนาปรับปรุงโรงไฟฟ้าของ กฟผ.เช่น โครงการโรงไฟฟ้าเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะ โครงการระบบส่งเพื่อรีบซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนน้ำงึม 3 และน้ำเทิน 1 ตลอดจนถึงโครงการขยายระบบส่งไฟฟ้าระยะที่ 12 และระบบจำหน่ายไฟของ กฟน.กับ กฟภ.

ขณะที่ภาคเอกชนมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับโรงงานอุตสาหกรรมของตนเองโดยรวม 30,000 ล้านบาท “ยังมีสาขาปิโตรเลียมที่กระทรวงวางแผนไว้ว่าจะต้องลงทุนอีก 262,284 ล้านบาท เพื่อการขยายคลังของก๊าซ LPG (ก๊าซหุงต้ม) ขยายระบบโครงข่ายท่อส่งก๊าซตามแผนแม่บทฉบับที่ 3 รวมถึงการลงทุนสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมของ ปตท.สผ.ที่ต้องทำต่อไป”

ปลัดกระทรวงพลังงานกล่าวด้วยว่า ยังมีภาคเอกชนแจ้งความจำนงจะลงทุนสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมของผู้รับสัมปทาน อย่างบริษัท เชฟรอนด้วยอีกประมาณ 80,000 ล้านบาท

นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังมีผู้ประสงค์จะลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนที่ประกาศให้เอกชนทราบภายใต้วงเงินลงทุนรวมอีก 102,228 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินลงทุนจากภาครัฐ 3,000 ล้านบาทเพื่อการสนับสนุนการศึกษาและวิจัยต้นแบบ ซึ่งจะเป็นเงินที่มาจากกองทุนเพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์พลังงาน ในขณะที่ภาคเอกชนให้ความสนใจกับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่างๆมากมาย

“ที่เป็นความนิยมสูงสุดก็คือ โซลาร์เซลล์ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ ขยะ และลม รวมกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ ภายใต้วงเงินลงทุน 99,228 ล้านบาท” ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าว ยังมีการลงทุนในสาขาอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานของรัฐด้วยอีก 126,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนจากภาครัฐ 8,000 ล้านบาท ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน และเงินลงทุนของภาคเอกชนอีก 14,000 ล้านบาท เพื่อร่วมกันปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเครื่องปรับอุณหภูมิ เช่น โรงงานน้ำแข็ง และห้องเย็นใน 5 จังหวัดทำประมง เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าที่สูงถึง 50% ของค่าใช้จ่ายลง

สำหรับความสนใจของนักลงทุนต่างประเทศด้านพลังงานนั้น เท่าที่สำรวจพบจากข้อมูลของ บีโอไอ มีการเสนอขอรับการส่งเสริมการลงทุน 248 โครงการ คิดเป็นมูลค่าลงทุน 166,586 ล้านบาท โดยการลงทุนด้านพลังงานทดแทน มีมูลค่าสูงถึง 68,476 ล้านบาท “เราคำนวณผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศที่กระจายสู่ภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกรรมจากพืชพลังงานได้กว่า 125,000 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะการส่งเสริมการผลิตเอทานอล ซึ่งจะมีรายได้หมุนเวียนในระยะ 5 ปี (2559-2564) รวม 226,575 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้กระจายไปสู่เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง 37,841.92 ล้านบาท สู่ผู้ปลูกอ้อย 48,438 ล้านบาท

ขณะที่ไบโอดีเซลจะช่วยสร้างให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในปีนี้กว่า 40,000 ล้านบาท และผลประโยชน์ที่จะเกิดแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันจะอยู่ที่ 1,443 ล้านบาทต่อปี รวม 5 ปีเป็นเงิน 8,850 ล้านบาท “ยังมีการลงทุนเรื่องการขนส่งน้ำมันทางท่อ 3 สายคือ สระบุรี-ลำปาง, สระบุรี-ขอนแก่น และ ระยอง-สระบุรี ระยะทาง 1,167.51 กม.คิดเป็นเงินลงทุน 64,768 ล้านบาท และลดต้นทุนการขนส่งได้มากถึง 40%

“มีหลายเรื่องมากที่กระทรวงพลังงานต้องรับผิดชอบ เรื่องที่สำคัญคือเรื่องการช่วยเตรียมการสำรองน้ำอุปโภค-บริโภคที่ได้จากเพื่อนบ้านซึ่งจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ประเทศไทย ที่สำคัญอีกประการก็คือ เราได้รับมอบหมายจาก พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.กระทรวง และรัฐบาล ให้เร่งศึกษา และจัดสร้างสถานีเพื่อการชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ที่กำลังจะเข้ามาใช้ในอนาคตอันใกล้ด้วย ส่วนที่หลายคนห่วงว่า จะมีไฟฟ้าไม่พอมาใช้เพื่อรถยนต์นั่งหรือรถโดยสารสาธารณะนั้น ผมยืนยันว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าเรามีมากพอ เช่นเดียวกับปริมาณสำรองตามกติกาสากล” ปลัดกระทรวงพลังงานกล่าว.
ที่มาของข่าว: ไทยรัฐออนไลน์

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.